วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สูตรคั้วกลิ้ง

สูตรคั่วกลิ้ง
สูตรคั่วกลิ้ง

1. เนื้อ 500 กรัม
2. กระเทียม 3 กรีบ
3. หอมแดง 4 หัว
4. ข่า ผ่าเป็นแว่น 4 แว่น
5. ตะใคร้ 3 ต้น
6. กะปิ 1 ช้อนชา
7. ผิวมะกรูดซอย 1 ช้อนชา (ลืมใบมะกรูดหั่นฝอยค่ะ)
8. พริกแห้งซักน้องๆ กำมือ (ตรงนี้ก็ลดๆได้ตามใจชอบค่ะ)
9. ขมิ้นแว่น 4 แว่น รึประมาณข้อนิ้วก้อย
10. พริกไทย
11. กะทิ น้ำปลา น้ำตาล
12. มาเพิ่มกุ้งแห้งค่ะ ซักหนึ่งกำมือ
แกงคั่วกลิ้งสันคอหมู ที่ใช้สันคอหมูเพราะเป็นส่วนที่นุ่ม ไม่เหนียว ปรุงไม่นานเนื้อก็นุ่มแล้วค่ะ ง่ายต่อแม่บ้านที่รีบทำทานในครอบครัว หรือจะเป็นอาหารจานเดียวก็ได้ค่ะ ดิฉันเลยเอาสูตรการทำแกงคั่วกลิ้งเนื้อสันคอหมูมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ เรามาเตรียมเครื่องปรุงกันก่อนนะคะ
เครื่องปรุง
- เนื้อสันคอหมูหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 3 ขีด
- ใบมะกรูด 10 ใบ ซอยให้เป็นสิ้นเล็กๆ ที่สุด
- ตะใคร้ 2 ต้น ซอยให้บางๆ
- พริกไทยอ่อน (เม็ดยังเขียวๆ) ประมาณ 20-30 เม็ด
- ซีอิ้วขาวเห็ดหอม
- น้ำตาลทราย
- เครื่องแกงคั่วกลิ้ง ประกอบด้วย
1. พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด
2. พริกขี้หนูสด 10 เม็ด
3. ตะใคร้ซอย 1 ต้น
4. หอมแดง 2 หัว
5. กระเทียม 8 กลีบ
6. พริกไทยดำ 20 เม็ด
7. ขมิ้นซอย 1 ช้อนโต๊ะ
8. เมล็ดผักชี ครึ่งช้อนโต๊ะ
9. ข่าซอย ครึ่งช้อนโต๊ะ
10. เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ
11. กะปิ 1 ช้อนชา
เอา 1-10 ใส่ครกโขลกให้ละเอียด ทุกอย่างละเอียดแล้วใส่ 11 ลงไป หรือว่าซื้อเครื่องแกงคั่วกลิ้งจากตลาดก็ได้สักประมาณ 1 ขีด
วิธีทำ
- ใส่น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ
- ใส่เครื่องแกงลงไปผัดให้หอม เติมน้ำเล็กน้อย รอให้น้ำแกงเดือดจนเครื่องแกงละลายหมด
- ใส่เนื้อสันคอหมูลงไปผัดในเครื่องแกงจนเนื้อหมูสุก ปรุงรสด้วย ซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย
- ใส่พริกไทยอ่อน ตะใครซอย ใบมะกรูดซอย ลงไปผัดให้เข้ากันเหลือน้ำขลุกขลิก
- ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ รับประทานกับข้าวร้อนๆ ตามด้วยผักเหนาะ สะตอ แตงกวา หรอยจังหู!
Tags: สูตรแกงคั่วกลิ้ง, อาหารปักษ์ใต้, เมนูคั่วกลิ้ง
Publié dans อาหารประเภทแกง | Aucun commentaire »

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีสังเกตุมะเร็ง

- รักษ์ภาษาไทย ใช้ให้ถูกหลัก -วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ
อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ
ถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล

การเพาะเห็ดฟางโดยใช้ทะลายปาล์มน้ำมัน

เห็ดฟางเป็นเห็ดที่คนไทยรู้จักกันมานาน เป็นเห็ดชนิดแรกที่มีการทดลองเพาะใน
ประเทศไทยเป็นเห็ดที่เพาะง่าย ใช้ระยะเวลาในการเพาะสั้นกว่าเห็ดชนิดอื่น โดยใช้ระยะเวลาเพียง 10-12 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ การเพาะเห็ดฟางสมัยก่อนใช้ซังข้าวหรือตอซังในการเพาะ
แต่ในปัจจุบันการเพาะเห็ดฟางสามารถใช้วัสดุเพาะได้หลายชนิด เช่น เปลือกถั่วเขียว
กากมันสำปะหลัง ผักตบชวา ชานอ้อย ขี้เลื่อยไม้ยางพารา และทะลายปาล์มน้ำมันก็เป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่นิยมใช้มาก ในปัจจุบันที่สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางได้ดีไม่แพ้กับการเพาะด้วยฟางข้าว
ความสำคัญของเห็ดฟาง
1. เห็ดฟางเป็นพืชผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีน เกลือ แร่และวิตามินต่าง ๆเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและมีสารต่อต้านการเกิดโรคเร็ง
2. วัสดุเพาะหาได้ง่ายและใช้ได้หลายชนิด ใช้ระยะเวลาเพาะสั้น
3. เห็ดฟางสามารถเพาะเป็นอาชีพเสริมรายได้และสามารถเพาะเป็นอาชีพหลัก
เลี้ยงครอบครัวได้
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเพาะเห็ดฟาง
1. อุณหภูมิ อุณหภูมิมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดฟางโ ดยเห็ดฟางต้องการ
อุณหภูมิสำหรับการเจริญเติบโตของเส้นใยระหว่าง 35-38 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสำหรับการออกดอกระหว่าง 28-32 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไป เส้นใยเห็ดเจริญช้าและถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเร็วเกินไป จะมีผลต่อรูปร่างลักษณะของดอกเห็ด
2. ความชื้น เห็ดฟางต้องการความชื้นค่อนข้างสูง คือความชื้นในอากาศประมาณ 80-90 เปอร์เซนต์และความชื้นในวัสดุเพาะ 60-70 เปอร์เซ็นต์
3. อากาศ ระยะการพัฒนาเป็นดอกที่สมบูรณ์ต้องการอากาศสูงมากควรเปิดช่องระบายอากาศบริสุทธิ์เข้าไป และระบายอากาศเสียความชื้นที่มากเกินไปออกจากแปลงเพาะ
4. แสงสว่าง ควรควบคุมแสงให้ผ่านเข้าไปเพียงเล็กน้อย เพราะแสงมีอิทธิพล ต่อสีของดอกเห็ดคือถ้าได้รับแสงมากเกินไปดอกเห็ดจะมีสีคล้ำไม่เป็นทีนิยมของผู้บริโภค
5. ความเป็นกรด-ด่างของดิน ถ้าดินเป็นกรด-ด่างมากเห็ดจะให้ผลผลิตต่ำการออกดอกไม่ดี เห็ดฟางเจริญและให้ผลผลิตดีในช่วงค่าความเป็นกรดด่าง ประมาณ
7.2 - 8.0

6. ความต้องการธาตุอาหาร สารอาหารที่ทำให้เร่งการเจริญเติบโต ได้แก่แป้ง กลูโกส น้ำตาล ซูโครส

การเพาะเห็ดฟางแบบกลางแจ้ง
วัสดุ - อุปกรณ์การเพาะ
1. เชื้อเห็ดฟาง เชื้อเห็ดที่ได้ต้องไม่อ่อนหรือแก่เกินไป โดยสังเกตุจากเส้นใย
กล่าวคือ ถ้าเส้นใยเดินไม่เต็มก้อน แสดว่าเชื้อยังอ่อนต้องรอให้เส้นใยเดินเต็มก้อนเชื้อและกลิ่นหอมคล้ายดเห็ด ไม่มีเชื้อราอื่นปน แต่ถ้าเชื้อแก่เส้นใยจะเป็นสีน้ำตาล หรือชมพูอ่อนหรือเกิดเป็นตุ่มดอกในก้อนเชื้อ ถ้าเชื้อได้มาจากการต่อเชื้อมามากช่วงแล้วดอกเห็ดที่ได้จะมีขนาดเล็ก
โตเร็วบานเร็ว
2. วัสดุเพาะ ได้แก่ กากทะลายปาล์มน้ำมันที่ได้สกัดเอาผลออกแล้วเป็นกากทะลายปาล์มที่ใหม่ ไม่มีเชื้อราอื่นปะปน

3. แบบพิมพ์ เป็นแบบไม้รูสี่เหลี่ยมคางหมู คือ มีขนาดด้านล่างกว้างประมาณ
40 ซม. ด้านบนกว้าง 30 ซม. สูง 30 ซม.และยาว 100 ซม. มีมือจับด้านหัวท้าย

4. อาหารเสริม ได้แก่ รำละเอียด ไส้นุ่น มูลสัตว์ที่ย่อยสลายตัวแล้ว เช่น มูลวัว
ถ้าเป็นมูลไก่ต้องผสมดินร่วนอัตราส่วน 2: 1

5. น้ำ ต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากคลอรีน กลิ่นไม่เน่าเหม็น ไม่เป็นน้ำเค็มหรือ
น้ำกร่อย
6. อุปกรณ์การให้น้ำ ถังน้ำ บัวรดน้ำ หรือถังน้ำ 200 ลิตร (สำหรับแช่ทะลายปาล์ม) เป็นต้น
7. อุปกรณ์การเตรียมดิน เช่น จอบ คราด มีดพร้า เป็นต้น
8. อุปกรณ์การคลุมกองเห็ด ได้แก่ พลาสติก ไม้ไผ่ เศษฟาง ทางมะพร้าว
กระสอบปุ๋ย เป็นต้น
9. ปูนขาว ใช้โรย พื้นดินเพื่อปรับความเป็นกรด - เป็นด่าง ของดิน
ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟาง
การเพาะเห็ดฟางโดยใช้กากทะลายปาล์มน้ำมัน มีวิธีการเพาะ 2 แบบด้วยกัน คือ
1. การเพาะโดยใช้แบบพิมพ์
2. การเพาะโดยไม่ใช้แบบพิมพ์
การเพาะโดยใช้แบบพิมพ์ มีขั้นตอน ดังนี้
1. การเตรียมพื้นที่ พื้นที่จะใช้เพาะเห็ดฟางไม่ควรเป็นกลางแจ้งมากนัก และไม่เป็นที่ลุ่ม น้ำท่วมขัง การเตรียมพื้นที่โดยการกำจัดวัชพืชแล้วขุดพลิกดินยกเป็น
แปลง สูงประมาณ 5-10 ซม. กว้าง 1.50 - 2.0 เมตร ยาวตามขนาดของพื้นที่ จากนั้นใช้ปูนขาวโรยบาง ๆ



2. นำกาทะลายปาล์มน้ำมัน มาหมักรดน้ำให้เปียกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งวันละ
ครั้ง เสร็จแล้วให้ใช้พลาสติกสีดคลุมให้มิดชิด ทำอย่างนี้ประมาณ 4 วันแล้วคลุมพลาสติกทิ้งไว้อีก 12-15 วัน หรือใช้วิธีวิธีแช่น้ำในถังหมัก หรือใช้ถัง ลิตร แช่หมักจนกระทั่งสังเกตว่า ไม่มีฟองอากาศ จึงนำไปใช้เพาะ
3. นำกากทะลายปาล์มใส่ลงในพิมพ์ ใช้ทะลายเล็กหรือฝอยอัดด้านข้างให้แน่พอสมควร
4. โรยอาหารเสริม มูลวัว มูลไก่ผสมดินร่วน โดยห่างจากขอบพิมพ์ประมาณ
1 ฝ่ามือ แล้วรดน้ำให้เปียก
5. นำเชื้อเห็ดฟางมาขยี้ให้ร่วนพร้อมกับผสมรำละเอียดเล็กน้อย หรืออาหารเสริม
สำเร็จรูป หรือไม่ผสมก็ได้ นำไปโรยทับบนอาหารเสริมจะได้เป็นกองเห็ดชั้นที่ 1

6. ทำการเพาะเห็ดชั้นที่ 2และ 3 ต่อไป โดยใช้เฉพาะทะลายที่เป็นฝอยเท่านั้น จาก
จากนั้นให้ยกพิมพ์ออก
7. ทำการเพาะกองต่อไป โดยให้ห่างจากกองแรกประมาณ 3-12 นิ้วเพาะต่อไป
จนได้ 8-10 กอง
8. โรยอาหารเสริมระหว่างกองแล้วรดน้ำและโรยเชื้อเห็ดฟางเล็กน้อย
เพื่อให้เห็ดขึ้นบนดินด้วย
9. นำไม้ไผ่ผ่าซีกปักโค้ง โดยอาจปักกองเว้นกองเพื่อรองรับพลาสติก จากนั้นใช้
พลาสติกปิดทับบนไม้ไผ่ ใช้ก้อนดิน หิน หรือไม้ทับขอบพลาสติก เพื่อป้องกัน
ลมพัดเปิดพลาสติก และใช้ทางมะพร้าว กระสอบปุ๋ยปิดพลาสติกอีกครั้งเพื่อบัง
แสงในกรณีที่กองเห็ดได้รับแสงมากเกินไป
การเพาะโดยไม่ใช้แบบพิมพ์
1. การเตรียมพื้นที่ เตรียมเหมือนกับการเพาะโดยใช้แบบพิมพ์เพาะ
2.นำทะลายปาล์มมากองเป็นแถวยาว โดยใช้ทะลายปาล์มที่ผ่านการหมักย่อยสลาย
ประมาณ 3 แถว เรียงติดกัน เป็น 1 กอง (จำนวน 9 ทะลาย)ใช้ฝอยปาล์มอัดทับ
บนทะลาย จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม
3. เตรียมเชื้อเห็ดฟาง เหมือนกับการเพาะแบบใช้พิมพ์
4. ใช้อาหารเสริมโรยทับทะลายปาล์ม เช่น มูลวัว มูลไก่ (ถ้าเป็นมูลไก่ต้องผสม
อัตราดินร่วนส่วน 1: 1) และโรยบนดินด้วย รดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง
5. โรยเชื้อเห็ดฟางลงไป ทั้งบนทะลายปาล์มและบนดิน
6. ปักไม่ไผ่โค้ง (ขนาดยาว 2 เมตร) เป็นโครงรองรับแผ่นผ้าพลาสติก

7. คลุมด้วยผ้าพลาสติก ทับชายพลาสติกด้วยดิน หิน หรือไม้
การดูแลรักษา
1. การระบายความร้อน หลังจากเพาะเห็ดแล้ว 4-5 วัน ให้เปิดชายพลาสติก
ออกบ้างเพื่อระบายความร้อนออกจากกองเห็ดบ้าง เพราะถ้าอากาศร้อนเกินไปเส้นใยเห็ดจะไม่รวมตัวเป็นดอก นอกจากช่วยระบายความร้อนแล้วยังเป็นการเพิ่มอากาศให้กับเห็ดอีกด้วย
2. การให้น้ำ ถ้าความชื้นในกองเห็ดต่ำ โดยเฉพาะการเพาะเห็ดแบบไม่ใช้ แบบ
ไม่ใช้พิมพ์ ถ้าไม่มีการแช่ทะลายปาล์ม ความชื้นในกองเพาะมักจะน้อยโดยสังเกตจากไอน้ำที่
เกาะอยู่ที่พลาสติกจะมีอยู่น้อยต้องให้น้ำโดยการพ่นเป็นฝอยหรือรดน้ำที่ดินรอบ ๆกองเห็ด
ห้ามรดลงบนกองเพาะเห็ด
3. การป้องกันกำจัดศัตรูเห็ดฟาง ถ้ามีศัตรูเห็ดฟางเข้าทำลายเห็ดฟางในขณะที่เพาะเห็ดไม่แนะนำให้ใช้สารเคมีใด ๆ ในการกำจัด ให้ใช้วิธีการป้องกันหรือหลีกเลี่ยง
โรคเห็ดฟาง
1. โรคราเมล็ดผักกาด เกิดกับเห็ดฟางที่ใช้วัสดุเพาะเก่าเก็บค้างปี ลักษณะที่พบคือเส้นใยขอเชื้อรามีลักษณะหนากว่าเส้นใยของเห็ดฟาง เริ่มเกิดในวันที่ 3 และ 4ของการเพาะเห็ดและเจริญเติบโตรวดเร็ว ต่อมาจะเกิดเส้นใยแผ่ขยายออกไป มีลักษณะเป็นวงกลม โดยเฉพาะที่หลังกองเมื่อเส้นใยมีอายุมากขึ้น จะสร้างส่วนขยายพันธุ์รูปร่างวงกลม สีขาวอ่อน และเมื่อแก่มีลักษณะคล้ายเมล็ดผักกาด จึงได้ชื่อว่า ราเมล็ดผักกาด ซึ่งเชื้อรานี้มักเกิดเป็นหย่อม ไม่กระจายไปทั้งแปลงแต่ทำลายเส้นใย ของเห็ดโดยตรง ทำให้เห็ดมีลักษณะอ่อนนิ่มกว่าดอกปกติ
2. เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ในดินหรืออยู่ในอากาศก็ได้ เมื่อดินหรือวัสดุเพาะขึ้นราเขียวเป็นราที่สร้างสปอร์เมื่อมีตวามชื้นเหมาะสม จึงเจริญเติบโตขยายพันธุ์ระบาดแข่งขันทำให้เชื้อเห็ดฟางบริเวณที่มีราเขียวเจริญไม่ทัน ทำลายดอกเห็ดอ่อน ๆได้ ขณะเส้นใยอ่อนมีลักษณะเป็นสีขาวเส้นใยบาง ๆ
3. ราเห็ดหมึก หรือเห็ดขี้ม้า เกิดจากการหมักฟางไม่ได้ที่ มีแกสแอมโมเนียเหลืออยู่
หรือเกิดจากการใช้ฟางเก่าหรือวัสดุเพาะที่มี่เชื้อเห็ดหมึกอยู่ หรืออาจเกิดจากกองเพาะเห็ดร้อนและแฉะเกินไป เมื่อคลุมพลาสติกไว้จึงมีลักษณะเหมือนกับเกิดการหมักขึ้น
ปัญหาที่ทำให้เห็ดไม่ออกดอก
ปัญหา สาเหตุ การแก้ไข
1.เส้นใยไม่เดิน - กองเพาะและเกินไป
- กองเพาะแน่นเกินไป
- หัวเชื้ออ่อน
- หัวเชื้อแก่เกินไป
- หัวเชื้อหมดอายุ
- อุณหภูมิในกองเพาะ
หรือในโรงเรือนสูง
หรือต่ำเกินไป กองเพาะมีเชื้อรา
- ปนเปื้อนหลายชนิด
- ฟางเก่าเกินไป

- หัวเชื้อหมดอายุ
- เพาะต่อดอกหลายครั้ง

- หัวเชื้ออ่อนเกินไป อัดกองเพราะหลวมเกินไปทำให้ดอกเห็ดที่ออกมาเหี่ยว

- เกิดเชื้อบักเตรีเข้าทำลายดอกเห็ดอ่อน ดอกเห็ดได้รับการกระทบกระเทือนขณะเก็บ
รดน้ำดอกเห็ดขณะกำลังตูม แช่ฟางนานเพียงแค่ดูดน้ำอิ่มตัวอย่าแช่นานเกินไป อัดฟางให้พอดี ๆอย่าอัดจนแน่น ซื้อหัวเชื้อ
จากแหลางที่เชื่อถือได้ เลือกหัวเชื้อคุณภาพดี
ถ้าเป็นเห็ดฟางกองเตี้ยให้เปิดผ้าพลาสติกระบายอากาศในกรณีที่อากาศร้อนและทำแปลง
ชิดกันในหน้าหนาว ควรใช้ฟางใหม่ ไม่ควรเพาะช้ำที่
เลือกซื้อหัวเชื้อคุณภาพดีจากแหล่งที่เชื้อถือได้
อัดกองเพาะให้แน่นขึ้น ขณะเตรียมแปลงไม่
ควรรดน้ำขณะเกิดดอกอ่อน
รักษาความสะอาดของแปลงเพาะ
เก็บดอกเห็ดให้ถูกวิธีและระมัดระวัง

ควรโชยน้ำเล็กน้อยเพื่อให้ความชื้นแปลงเพาะ
2.เส้นใยเดินแต่ไม่ออกดอก

3.เกิดดอกเห็ดเล็ก ๆ
แต่ภายหลังเกิดดอกฝ่อ


4.ดอกเห็ดนิ่มและเน่า

ศัตรูเห็ดฟาง
1. ไร จะพบระบาดมากในฤดูฝน ไรจะทำลายในระยะที่เส้นใยเห็ดกำลังแผ่ขยายออกทำ
ให้เส้นใยเห็ดขาดออกจากกันไม่สามารถฟอร์มดอกและเจริญต่อไป กำจัดโดยใช้ยาฉุน 1 ซอง (ใหญ่) แช่น้ำ 1 ลิตร นาน 12 ชั่วโมงฉีดพ่น
2. ปลวก มด แมลงสาบ จะเข้าไปทำรังหริอเข้าไปทำลายเส้นใยเห็ดและกัดกินดอกเห็ด
การเพาะให้เลือกพื้นที่ไม่มีปลวก แมลง รบกวน
การป้องกันกำจัดศัตรูเห็ดฟาง
การที่ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเพาะจนถึงสิ้นสุดการเก็บผลผลิตเห็ดฟาง มีเพียง 10 - 12 วันเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลอันหนึ่งที่ไม่มีการใช้ยาเคมีในพืชผักชนิดนี้ ดังนั้นวิธีการสำคัญในการป้องกันกำจัดศัตรูเห็ดฟาง คือวิธีการรักษาความสะอาดและการปฏิบัติดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอและการเอาใจใส่ใกล้ชิด ดังนี้
1. เลือกหัวเชื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ว่าเป็นพันธุ์ดี ให้ผลผลิตสูงมีการปนเปื้อนน้อยที่สุดหรือไม่มี
2. เลือกตอซังหรือฟางข้าวนวดที่สะอาดปราศจากเชื้อราเมล็ดผักกาด ฟางต้องมีลักษณะแห้งสนิทและอมน้ำได้ง่าย วัสดุเพาะทุกชนิดไม่ควรทิ้งให้ตากแดดตากฝน หรือเก็บ
ค้างปี
3. มีความเข้าใจถึงสภาพความต้องการต่าง ๆ ในการเจริญเติบโตของเห็ดฟาง เพื่อจะได้ปฏิบัติดูแลกองเพาะอย่างถูกต้อง เช่น เรื่องอุณหภูมิในกองเพาะขณะที่เส้น ใยเจริญเติบโต ต้องการอุณหภูมิระหว่าง 35 -38 อวศาเซลเซียส ซึ่งถ้าในกองเพาะร้อนหรือเย็นเกินไป ก็ควรจะต้องระบายอากาศ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอ๊อกซิเจน ต้องเผารอบกองเพาะ เพื่อให้ความร้อนแก่กองฟางในฤดูหนาว นอกจากนี้ยังควรเข้าใจเรื่องความชื้น
แสงสว่าง ความเป็นกรด-ด่าง และความสามารถในการใช้อาหารของเห็ดฟางอีกด้วย
4. ความสะอาดของแปลงเพาะ ก่อนเพาะควรจะได้ถางหญ้าเตรียมดินไว้เสียก่อน และเมื่อ
การเพาะเสร็จสิ้นควรนำฟางที่ใช้แล้วเป็นปุ๋ยหมัก เผาหรือตากดินบริเวณแปลงเพาะที่ใช้แล้วทิ้งไว้ประมาณ 4-5 วัน เพื่อฆ่าเชื้อราที่สะสมในบริเวณนั้น เป็นการเตรียมที่เพาะในครั้งต่อไป และเป็นการลดประมาณเชื้อราที่อาจมีอยู่ในดิน สำหรับการเพาะ
เห็ดฟางในโรงเรือนแบบอุตสาหกรรม ควรมีการพักโรงเรือนเป็นครั้งคราวและทำความ
สะอาดโรงเรือนเพื่อทำลายศัตรูเห็ดฟางก่อนที่เพาะในรุ่นต่อไป
เมื่อสามารถปฏิบัติในเช่นนี้ ท่านก็สามารถที่จะเพาะเห็ดฟางได้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

การเก็บดอกเห็ด
ควรเก็บเมื่อดอกเห็ดฟางโตเต็มที่คือมีลักษณะเต่งตึง ปลอกหุ้มขยายตัวเต็มที่ ดอกเห็ดมีลักษณะเป็นหัวแป้นอยู่ก็ควรรอไว้อีกหนึ่งหรือครึ่งวัน แต่เมื่อเห็ดมีลักษณะหัวยึดขึ้นแบบหัวพุ่ง
ก็ต้องเก็บทันทีมิฉะนั้นดอกเห็ดจะบาน ทำให้ขายไม่ได้ราคา วิธีการเก็บดอกเห็ดให้ใช้นิ้วชี้กับ
นิ้วหัวแม่มือกดดอกเห็ดแล้วหมุนเล็กน้อยยกขึ้นเบา ๆ
ดอกเห็ดจะหลุดออกมาแล้วให้ใช้มีดคม ๆ ตัดโคนดอกเพื่อเอาสิ่งสกปรกออกจากนั้นก็นำไปเก็บไว้ในที่เย็น เพราะถ้าเก็บไว้ในที่ร้อนอบอ้าว แล้วจะทำให้ดอกเห็ดบานเร็ว

คุณค่าทางโภชนาการของเห็ดฟาง

คุณค่าทางอาหาร เห็ดฟาง เห็ดฟางแห้ง
โปรตีน
ไขมัน
คาร์โบไฮเดรต
เส้นใย/กาก
เถ้า
พลังงาน
แคลเซียม
เหล็ก
ฟอสฟอสรัส 3.40
1.80
3.90
1.40

-
44 แคลอรี่
8 มิลลิกรัม
11 มิลลิกรัม
-



49.04
20.63
17.03


13.30
4,170 แคลอรี่
2.35 ของเถ้า
0.99 ของเถ้า
30.14 ของเถ้า

การเพาะเห็ดฟางโดยใช้ทะลายปาล์มน้ำมัน

ปาล์มน้ำมันพืชเศรษฐกิจของ จ.กระบี่ ที่วันนี้ไม่ใช่มีราคาแค่เมล็ดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังมีส่วนอื่นๆ ของปาล์มที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพิ่มมูลค่าให้แก่เกษตรกรเจ้าของสวนปาล์มได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทะลายปาล์ม ที่เมื่อก่อนมองดูเป็นสิ่งที่ไร้ค่า แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีราคา เป็นที่ต้องการของเกษตรกรที่ยึดอาชีพเพาะเห็ดฟางอย่างมาก
หลังจากที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก) จ.กระบี่ ร่วมกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกระบี่ จัดหลักสูตรอบรมการใช้ประโยชน์จากปาล์มน้ำมันแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน ภายใต้โครงการสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เข้าถึงองค์ความรู้และจัดการเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน
สฤษดิ์ วิเศษมาก เกษตรกรชาวสวนปาล์ม วัย 30 ปีเศษ อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 5 ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ หนึ่งในผู้สำเร็จจากการอบรมในหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้หันมายึดอาชีพเพาะเห็ดฟางจากทะลายปาล์มอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000-15,000 บาท โดยมีตลาดหลักอยู่ที่กรุงเทพฯ ทั้งตลาดไทและสี่มุมเมือง
"ผมเป็นคนสุราษฎร์มาอยู่กระบี่ได้ 4-5 ปีแล้ว มาแต่งงานมีครอบครัวที่นี่ มีสวนปาล์มอยู่ 15 ไร่ แต่ไม่ค่อยสนใจมากนัก เพราะอาชีพที่ทำรายได้หลักผมทุกวันนี้ก็คือการเพาะเห็ดฟางขาย"
สฤษดิ์บอกว่าการเพาะเห็ดฟางของเขาจะต่างจากที่อื่นๆ ที่ต้องลงทุนสร้างโรงเรือนขนาดใหญ่หรือใช้อุปกรณ์ในการเพาะ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง ในขณะที่ตนเองนั้นจะใช้ทะลายปาล์ม ซึ่งเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ที่หาได้ง่ายในพื้นที่มาใช้เป็นอุปกรณ์ในการเพาะเห็ด โดยเมื่อก่อนจะใช้ทะลายปาล์มจากสวนของตนเอง แต่หลังจากได้ขยายพื้นที่การเพาะเห็ดเพิ่มขึ้น จึงต้องไปหาซื้อจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในราคาตันละ 400 บาท
"ตอนนี้ที่บ้านทำอยู่ประมาณ 100 ร่อง แต่ละร่องจะยาว 4 เมตร กว้าง 80 เซนติเมตร และจะใช้ทะลายปาล์ม 3 หัวเรียงติดต่อกัน ผลผลิตแต่ละร่องจะเก็บได้ประมาณ 5-6 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งทุกวันนี้ผลผลิตที่เก็บได้เฉลี่ยอยู่ที่ 60 กิโล/วัน โดยจะส่งให้พ่อค้าที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ตลาดไทและตลาดสี่มุมเมือง ในราคา 38-40 บาทต่อกิโลกรัม โดยจะไปส่งที่สนามบินกระบี่ทุกวัน"
สฤษดิ์ยอมรับว่าอาชีพการเพาะเห็ดฟางจากทะลายปาล์มใน จ.กระบี่ ขณะนี้เริ่มมีผู้สนใจกันมากขึ้น เกษตรกรชาวสวนปาล์มใน จ.กระบี่ ส่วนใหญ่ได้หันมาเพาะเห็ดฟางจากทะลายปาล์มกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีและไม่มีปัญหาในเรื่องตลาด บางพื้นที่ก็มีการรวมกลุ่มทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นที่น่ายินดีที่หน่วยงานภาครัฐได้ให้ความสำคัญ มีโครงการต่างๆ จัดอบรมถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มมากขึ้น
"อย่างเมื่อก่อนการเพาะเห็ดของผมจะทำแบบง่ายๆ ไม่มีความรู้ทางวิชาการเข้ามาจับ ทำให้บางครั้งก็เกิดปัญหาผลผลิตเสียหายมาก มีโรคระบาดเกิดขึ้น ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องทำลายทิ้ง ต้องเป็นหนี้เป็นสินต่อ ส่วนทะลายปาล์มที่หมดสภาพจากการเพาะเห็ดเขาก็แนะนำให้นำไปทำปุ๋ยอินทรีย์ หลังจากที่เมื่อก่อนทิ้งอย่างเดียว" สฤษดิ์ย้ำชัด
นับเป็นอีกก้าวความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มอย่าง "สฤษดิ์ วิเศษมาก" ที่สามารถนำวัสดุที่เหลือใช้อย่างทะลายปาล์มมาประยุกต์เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ดฟางเพื่อเสริมรายได้อีกทางหนึ่ง

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กล้วยตัดใบ

โอชารส" กล้วยพื้นบ้านใบใหญ่ ชาวบางสะพานปลูกไว้ขายใบตองในช่วงเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมา "ใบตอง" ก็ยังคงเป็นวัตถุดิบสำคัญในการประดิษฐ์กระทงใบสวยของคนไทย ตกแต่งเป็นกลีบงามเข้ากับหยวกกล้วย บ้างพับเรียงเป็นบายศรีขนาดเหมาะ แม้ว่ากระทงที่ทำจากขนมปัง ใบลาน หรือเปลือกข้าวโพดจะเข้ามาเป็นตัวเลือกมากขึ้น เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่กระทงที่งดงามในใจของผู้เขียนก็ยังเป็นกระทงที่ทำจากใบตองไม่เสื่อมคลายอาจเพราะความคุ้นเคยแต่วัยเยาว์ของการใช้ใบตองในวิถีไทย จึงเห็นว่ากระทงใบตองมีเสน่ห์ ไม่แตกต่างจากการใช้ใบตองในการอื่นๆ เมื่ออดีต เช่น การใช้ใบตองห่อขนมต่างๆ ใช้ห่อข้าวต้มมัด ห่อแหนม หมูยอ ห่อปลาทู หรือทำห่อหมก สร้างเอกลักษณ์ของอาหารไทยได้อย่างดี กับเรื่องอาหารการกินนี้คนไทยยังให้ความสำคัญกับใบตองถึงปัจจุบันอย่างน่าชื่นใจใบตองที่นิยมใช้กันมากคือ ใบตองตานี มีลักษณะใบที่สวยงาม ใบยาว สีเขียวเข้ม และทนทานไม่แตกง่าย ปลูกมากในจังหวัดสุโขทัย หรือหากลงใต้มาก็ปลูกกันมากที่ชุมพร แต่ที่ประจวบคีรีขันธ์ไม่ไกลกับชุมพรนั้น ก็มีใบตองที่ชาวบ้านนิยมเช่นเดียวกัน ...ไม่ใช่กล้วยตานี แต่เป็นใบตองกล้วยพื้นบ้านที่ชาวบ้านเรียกกันว่า กล้วย "โอชารส" มีลักษณะใบค่อนข้างหนา สีเขียวสด และมีใบที่ใหญ่มาก คุณสุชาติ เชื้อพราน ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บอกถึงกล้วยโอชารสว่า เป็นกล้วยพื้นบ้านที่ชาวบ้านนิยมปลูกเพื่อตัดใบขายเป็นหลักมานาน เนื่องจากมีใบใหญ่ หนา ต่างจากกล้วยใบตองทั่วไป น้ำหนักดี ทน เหนียว ไม่แตกง่าย ปลูกได้ดีในพื้นที่ แตกหน่อได้ง่าย ชาวบ้านนิยมปลูกแซมในสวนมะพร้าว ซึ่งผู้ใหญ่สุชาติเองก็ปลูกไว้เป็นรายได้เสริมในสวนผสมผสาน ที่มีทั้งมะพร้าวและไม้ผล บนพื้นที่ 10 ไร่ ของเขาเช่นเดียวกัน "ผมก็ไม่รู้ว่าที่อื่นเขาเรียกว่ากล้วยอะไรนะ แต่ที่ปลูกกันมานานแล้ว จะมีแม่ค้ามารับซื้อถึงที่ ขายเป็นใบตองได้กิโลกรัมละ 6 บาท แต่ไม่ค่อยมีหัวปลีนะ ส่วนผลมันจะเอามาทำเป็นขนมกล้วยโขลก บางคนก็เอาไปทำกล้วยปิ้งแต่ไม่ค่อยนิยมเท่าไหร่ เพราะมีกล้วยอื่นที่รสชาติดีกว่า ส่วนใหญ่จะเอาผลไปใช้ทำอาหารหมู อาหารวัว" ผู้ใหญ่เล่าแต่เมื่อผู้เขียนสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกล้วยพันธุ์โอชารสนี้ ก็ไม่พบและไม่น่าจะเป็นพันธุ์ใหม่ สอบถามกับ คุณพานิชย์ ยศปัญญา หัวหน้ากองบรรณาธิการเทคโนโลยีชาวบ้าน ก็ยังงุนงง ด้วยชื่อไม่คุ้นเลยสักนิด กระทั่งดูภาพถ่ายของผลและลักษณะต้น คุณพานิชย์ก็บอกเลยว่าเป็นกล้วยพันธุ์เดียวกับกล้วย "เทพรส" หากแต่มีลักษณะใบใหญ่ หนา เป็นพิเศษ ซึ่งอาจมาจากคุณภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อเปรียบเทียบลักษณะของกล้วยเทพรส กับกล้วยโอชารส จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่สุชาติก็ใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือ มีลำต้นสูง ใบใหญ่ กาบลำต้นสีเขียว ท้องใบมีนวล ผลขนาดใหญ่เป็นเหลี่ยมค่อนข้างยาว บางทีมีดอกเพศผู้หรือปลี บางทีไม่มี ถ้าหากไม่มีดอกเพศผู้ จะไม่เห็นปลี การมีปลีและไม่มีปลีนี้เกิดจากการกลายพันธุ์แบบกลับไปกลับมาได้ ในสมัยโบราณเรียกกล้วยเทพรสที่มีปลีว่า กล้วย "ทิพรส" จึงอาจกล่าวได้ว่า กล้วยโอชารส ก็คือชื่อพื้นบ้านอีกชื่อของกล้วยเทพรสนั่นเองกลับมาที่ชาวบางสะพานที่สร้างรายได้เสริมจากกล้วยใบใหญ่นี้กันต่อ ผู้ใหญ่สุชาติ บอกว่า หากนำหน่อกล้วยไปลงปลูกในพื้นที่ปลูกใหม่ แนะนำให้ปลูกห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร แต่ไม่ควรปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินทราย เมื่อลงปลูกแล้วก็ให้เทวดาเลี้ยงได้เลย เมื่อกล้วยอายุ 6 เดือน ก็สามารถตัดใบส่งจำหน่ายได้แล้ว แต่หากเป็นต้นใหม่จากกอเดิมต้องรอประมาณ 1 ปี จึงจะตัดได้ และสามารถตัดขายได้ตลอดทั้งปี หากหมดอายุหรือครบ 1 ปี ก็สามารถตัดลำต้นหรือหยวกกล้วยขายเพื่อเป็นอาหารสัตว์ได้อีก ทุกวันนี้เขาตัดใบขายมานานถึง 40 ปีแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องปรับพื้นที่ปลูกใหม่เลย เพราะกล้วยแตกหน่อใหม่ขึ้นมาทดแทนเองตลอดส่วนวิธีการตัดใบตองของชาวบ้านที่นี่ ไม่ยุ่งยาก ใช้มีดปลายแหลมเสียบกับลำไผ่ขนาดยาวให้แน่น และเลือกตัดเฉพาะ 3 ใบล่าง หากเป็นช่วงหน้าฝน กล้วยได้น้ำดีเว้นระยะเวลาไป 15 วัน ก็สามารถกลับมาตัดซ้ำต้นเดิมได้อีก แต่หากเป็นช่วงหน้าแล้งต้องเป็นเดือน จึงจะตัดใบซ้ำต้นเดิมได้ ผู้ใหญ่สุชาติ บอกต่อว่า เขาเองตัดใบกล้วยขายทุกวัน วันละประมาณ 200 กิโลกรัม โดยตัดในเวลา 8 โมงเช้า เป็นต้นไปเพื่อให้น้ำค้างแห้งเสียก่อน ใบที่ตัดแล้วนั้นจะต้องนำมากรีดเอาทางใบออกเหลือแต่ใบตอง พับเตรียมจำหน่ายให้แม่ค้าเป็นมัด มัดละ 18 กิโลกรัม หรือราวๆ 60 ทางใบกล้วย แล้วแม่ค้าจะเข้ามารับซื้อสัปดาห์ละ 2 ครั้งนอกจากนี้ ใบตองแห้งที่เหี่ยวคาต้นหรือร่วงหล่นลงพื้นนั้นก็ยังเก็บไปขายเพื่อนำไปเป็นจุกข้าวหลามได้อีก กิโลกรัมละ 5 บาท หรือจะขุดหน่อขายก็ได้หน่อละ 7 บาท สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ใหญ่สุชาติประมาณเดือนละ 6,000-7,000 บาท โดยไม่มีต้นทุนค่าแรงงาน หรือปุ๋ยแต่อย่างใด เพราะปลูกเอง ตัดเอง มัดเอง และแบกขายด้วยตนเองสอบถามด้านการตลาดของใบตองกล้วยโอชารสกับ คุณอุบล แสงงาม แม่ค้าชาวบางสะพาน ผู้รับซื้อใบตองรายใหญ่ของชาวบ้านมานานกว่า 6 ปี เธอบอกว่า ใบตองนี้เป็นที่ต้องการของตลาดทับสะแก อ่าวมะนาว แต่รวมแล้วตลาดหลักก็มีเพียงในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นี้เท่านั้น เพราะเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน นิยมนำไปใช้รองเข่งขนมจีน ใช้ทำห่อหมก ห่อขนม ห่ออาหารนึ่ง ย่าง เพราะให้กลิ่นหอมเพิ่มรสชาติ โดยมีปริมาณการรับซื้อเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1.2 ตัน ต่อเดือน แต่หากเป็นช่วงเทศกาลลอยกระทง ตรุษจีน หรือในช่วงหน้าแล้ง ใบตองจะเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ยอดส่งจำหน่ายสูงขึ้นเป็น 1.8 ตัน ต่อเดือน การส่งจำหน่ายใบตองกล้วยโอชารสของแม่ค้ารายนี้แบ่งเป็นสองประเภท คือ ขายส่งแบบคละเกรด มัดละ 9 บาท ราคาเดียว แม้ช่วงไหนของจะขาด โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งที่ใบตองหายากแต่ขายดีก็ยังส่งราคานี้ ส่วนอีกประเภทคือ ใบตองคัดเกรด เลือกเฉพาะใบใหญ่ นิยมใช้ทำบายศรีและผ่านการฉีกตัดแล้ว จำหน่ายกิโลกรัมละ 15 บาท ราคาเดียวทั้งปีเช่นกัน แต่สำหรับตลาดต่างถิ่น แม่ค้าอุบล บอกว่า ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร เพราะคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ใบใหญ่ หนา สีเขียวเข้มขนาดนี้ ดูแข็งเกินไป จะทำให้อาหารที่ถูกห่อมีรสขม หรือกลายเป็นสีดำ แต่เธอก็ปฏิเสธว่าเป็นเช่นนั้น เพราะคนประจวบฯ เองจะรู้ว่าไม่มีผล มีแต่จะส่งกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์มากกว่า ทุกวันนี้ในฐานะที่เธอเป็นคนท้องถิ่นและประกอบอาชีพแม่ค้าขายใบตองกล้วยโอชารสร่วมกับการทำสวน ก็ยังหวังให้ใบตองท้องถิ่นเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยพยายามหาตลาดต่างถิ่นมากขึ้น รวมถึงส่งมาให้ลูกค้าลองใช้แบบฟรีๆ ก่อนถึงกรุงเทพฯ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชนชาวบางสะพานสนใจรายละเอียดติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผู้ใหญ่สุชาติ โทร. (08) 4316-5245ั้หรือ คุณอุบล โทร. (083) 313-8130เกษตรกรบางสะพาน มีบำนาญในปลายชีวิตคุณยุวพล วัตถุ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขาบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากการตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทาง ธ.ก.ส. สาขาบางสะพาน จึงมีการรณรงค์ให้ชาวบ้านสานต่อโครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ 1 ล้านครัวเรือน 9 ล้านต้น ที่ ธ.ก.ส. ดำเนินการมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 โดยสนับสนุนให้มีการก่อตั้งธนาคารต้นไม้ ให้ชาวบ้านช่วยกันเพาะพันธุ์กล้าไม้หลากชนิด เช่น ตะเคียนทอง ยางนา มะฮอกกานี มะยมหอม มะค่า พะยูง และพันธุ์ไม้ท้องถิ่น รวมถึงขอการสนับสุนนพันธุ์กล้าไม้จากศูนย์เพาะชำกล้าไม้ในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรไปปลูกในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งมีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมากทั้งนี้ ต้นไม้ที่เกษตรกรนำไปปลูกนั้น ก็คือ การเก็บออมในรูปแบบหนึ่ง หรือถือเป็นบำนาญไว้ใช้ในอีก 20 ปีข้างหน้าก็ได้ เนื่องจากไม้ดังกล่าวจะเติบใหญ่จนสามารถตัดจำหน่ายได้ในยามที่เกษตรกรถึงวัยปลดเกษียณ ซึ่งคาดว่า ต้นไม้ที่ส่งเสริมให้ปลูกนั้นเมื่อมีอายุครบ 20 ปี จะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 20,000 บาท "นับเป็นอีกวิธีที่จะสร้างความสุขให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้ในบั้นปลายชีวิต ส่วนกรณีที่เกษตรกรใดมีอายุมากแล้ว ก็สามารถปลูกต้นไม้โตเร็ว เช่น กระถินเทพา สะเดาช้าง เพราะสามารถตัดขายในระยะเวลา 5 -10 ปี เกษตรกรอยากมีเงินบำนาญเท่าไหร่ก็วางแผนได้ตามอายุของตนเอง แต่ต้องเริ่มปลูกตั้งแต่วันนี้ คุณยุวพล กล่าว

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เห็ดแครง

เห็ดแครง เป็นเห็ดที่ขึ้นอยู่ทั่วโลกและงอกได้ตลอดปี พบขึ้นอยู่กับวัสดุหลายชนิด เช่น ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ใบหญ้า กระดาษ หรือแม้แต่บนกระดูกปลาวาฬก็พบเห็ดชนิดนี้ขึ้นอยู่ แต่ที่พบเป็นปริมาณมากสามารถเก็บรวบรวมเห็ดมารับประทานได้คือ บนท่อนไม้และกิ่งไม้ ในภาคใต้ของไทยพบมากบนท่อนไม้ยางพารา ต้นยางพาราที่ตัดโค่นไว้เมื่อท่อนไม้ตายและมีฝนตกก็พบเห็ดแครงขึ้นเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีการใช้ยาฆ่าตอต้นยางเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านบอกว่าเห็ดแครงที่เก็บรวบรวมมาจากตอยางเมื่อรับประทานแล้วมีอาการคันปาก และสงสัยว่าเกิดจากพิษของยาฆ่าตอยาง ตอนนี้ยังไม่มีการศึกษายืนยันแต่ควรหลีกเลี่ยงเก็บเห็ดจากตอยางที่ใช้ยาฆ่าตอ

Schizophyllum commune Fr.
-
เห็ดแครง
-
เห็ดตีนตุ๊กแก เห็ดจิก เห็ดยาง (ภาคใต้) เห็ดแก้น เห็ดตามอม (ภาคเหนือ) เห็ดมะม่วง (ภาคกลาง)

เห็ดแครงเป็นเห็ดขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายพัด (fan-shaped) ด้านฐานมีก้านขนาดสั้นๆ ยาวประมาณ 0.1- 0.5 เซนติเมตร หรือไม่มีก้านติดอยู่กับวัสดุที่ขึ้นด้านข้าง ดอกเห็ดมีขนาดความกว้าง ประมาณ 1-3 เซนติเมตร ผิวด้านบนมีสีขาวปนเทาปกคลุมทั่วไป ลักษณะดอกเหนียวและแข็งแรง เมื่อแห้งด้านใต้ของดอกเห็ดมีครีบมีลักษณะแตกเป็นร่อง (spilt-gill) พิมพ์สปอร์มีสีขาว สปอร์มีสีใสรูปร่างเป็นทรงกระบอกขนาด 3-4x1-1.5 ไมครอน เนื่องจากเห็ดแครงมีขึ้นอยู่ทั่วโลก ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ลักษณะดอกเห็ดอาจแตกต่างกันในแต่ละท้องที่

เห็ดแครงเป็นเห็ดที่เพาะปลูกได้ง่ายมากชนิดหนึ่ง สามารถใช้วัสดุในการเพาะหลายชนิด ขั้นตอนในการเพาะเลี้ยงเห็ดแครงจะเหมือนกับเห็ดชนิดอื่นๆ ยกเว้นสูตรอาหารและเทคนิคการเพาะ การดูแล ซึ่งต่างไปบ้าง เนื่องจากมีธาตุอาหารสูงจึงต้องปฏิบัติให้ถูก หากไม่มีจะทำให้เห็ดเกิดการปนเปื้อนเชื้อราอื่นได้สูง เป็นสาเหตุให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับแม่เชื้อเห็ดแครงที่บริสุทธิ์แนะนำให้สั่งซื้อจากศูนย์รวบรวมเชื้อพันธุ์เห็ดแห่งประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร เพราะได้ทำการคัดเลือกสายพันธุ์มาแล้วว่าให้ลักษณะดอกดี มีขนาดใหญ่ และให้ผลผลิตสูง เมื่อได้ แม่เชื้อมาแล้วก็นำมาทำเชื้อขยายในเมล็ดข้าวฟ่าง ซึ่งมีวิธีการเตรียมวัสดุเพาะเหมือนเห็ดชนิดอื่นๆ

: การเพาะเห็ดแครงมีขั้นตอนต่างๆ เหมือนการเพาะเห็ดถุงทั่วไป

การทำหัวเชื้อเห็ด เห็ดแครงสามารถทำหัวเชื้อได้บนเมล็ดข้าวฟ่างเหมือนกับทำหัวเชื้ออื่นๆ โดยแช่เมล็ดข้าวฟ่างในน้ำทิ้งไว้ 1 คืน นำไปต้มไฟปานกลางเมื่อเมล็ดข้าวฟ่างเริ่มนุ่ม นำขึ้นสรงให้สะเด็ดน้ำบนตะแกรง เมื่อเย็นกรอกใส่ขวดแบน จากนั้นปิดจุกสำลี นำไปนึ่งความดัน โดยใช้ความร้อน 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็น แล้วตัดเส้นใยจากแม่เชื้อในอาหารวุ้น ถ่ายลงไปด้วยเข็มเขี่ยในสภาพปลอดเชื้อ บ่มเส้นในที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 7-10 วัน ก็นำไปถ่ายลงวัสดุเพาะได้
การเตรียมวัสดุเพาะ นำเมล็ดข้าวฟ่างแช่ในน้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นเทน้ำทิ้งเปลี่ยนน้ำใหม่ต้มให้เดือด จนเมล็ดข้าวฟ่างค่อนข้างสุก แล้วรินน้ำทิ้ง พักไว้ให้เย็นหมาดๆระหว่างนี้ให้ผสมขี้เลื่อย ปูนขาวและรำเข้าด้วยกันก่อน จากนั้นจึงผสมน้ำลงไป (หากผสมพร้อมกันหมด รำจะจับติดเป็นก้อน) เมื่อผสมเข้ากันดีแล้ว จึงนำเมล็ดข้าวฟ่างที่เตรียมไว้มาผสมอีกที จากนั้นกรอกใส่ถุงพลาสติก ขนาด 6x10 นิ้ว ให้มีน้ำหนัก 600 กรัม ใส่คอขวด รัดยาง และปิดสำลีแล้วปิดด้วยฝาปิด จากนั้นนำไปนึ่งด้วยหม้อนึ่งความดัน 15 ปอนด์ เป็นเวลา 30 นาที หรือ นึ่งด้วยหม้อนึ่งลูกทุ่ง อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ได้เวลาแล้วพักไว้ให้เย็น จึงรีบใส่เชื้อในเมล็ดข้าวฟ่างที่เตรียมไว้ทันที พยายามอย่าทิ้งถุงไว้เกิน 24 ชั่วโมง จะทำให้การปนเปื้อนสูง
การพักบ่มเส้นใย โรงเรือนสำหรับพักบ่มเส้นใย ควรเป็นโรงเรือนในร่ม ที่มีการระบายอากาศดี และข้อสำคัญควรเป็นที่มืด (ขนาดที่อ่านหนังสือพิมพ์ไม่เห็นในระยะ 1 ฟุต ตรงนี้เป็นเทคนิคที่ค่อนข้างจะปฏิบัติได้ยากแต่จะต้องพยายามทำให้มืดที่สุด) เส้นใยจะเจริญเต็มถุงในเวลา 15 – 20 วัน ที่อุณหภูมิระหว่าง 25 – 35 องศาเซลเซียส ซึ่งหลังจากเส้นใยเต็มถุง จึงให้แสงในโรงบ่ม แสงจะกระตุ้นให้เห็ดสร้างตุ่มดอก จะสังเกตเส้นใยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จึงนำไปเปิดดอก โดยดึงจุกสำลีและคอขวดด้านบนออก ใช้ยางรัดปิดปากถุงให้แน่น แล้วกรีดด้านข้างให้เป็นมุมเฉียงจากบนลงล่างทั้ง 4 มุมของถุง แล้วนำไปวางบนชั้นหรือแขวนในโรงเรือน
โรงเรือนเปิดดอก โรงเรือนเปิดดอกจะใกล้เคียงกับโรงเรือนเปิดดอกของเห็ดหูหนู การรดน้ำควรจะติดระบบสปริงเกอร์ ให้น้ำเช้าและเย็น หากรดน้ำด้วยมือจะต้องใช้หัวฉีดพ่นฝอย มิฉะนั้นก้อนเห็ดจะดูดน้ำเข้าไปทำให้ก้อนเชื้อเสียและปนเปื้อนจุลินทรีย์อื่น การวางก้อนเชื้อจะต้องวางตั้งบนชั้นหรือแขวนแบบเห็ดหูหนู หลังจาก กรีดข้างถุงและรดน้ำเห็ดไปประมาณ 5 วัน จะเก็บผลผลิตรุ่นที่ 1 ได้ หลังจากนั้นเห็ดจะพักตัวอีก 5-7 วัน รดน้ำเป็นปกติ ก็จะเก็บรุ่นที่ 2 และ3 ตามลำดับ ซึ่งผลผลิตก็จะหมดให้ขนก้อนเก่าไปทิ้ง และพักโรงเรือน ให้แห้งเป็นเวลา 15 วัน จึงนำถุงเห็ดรุ่นใหม่ เข้าเปิดดอกต่อไป

โรคในเห็ดแครงจะพบการปนเปื้อนจาก ราเขียว และราส้ม เนื่องจากวัสดุเพาะมีธาตุอาหารสูงจึงเกิดการปนเปื้อนได้ง่าย

เนื่องจากเห็ดแครงเป็นเห็ดที่มีแร่ธาตุอาหารต่างๆ เป็นอาหารบำรุงร่างกายทำให้สุขภาพดี อีกทั้งมีสาร Schizophyllan ที่มีสรรพคุณในด้านการรักษาโรคต่างๆมากมาย เห็ดแครงสามารถปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น นำมาเจียวกับไข่ แกงกะทิ ห่อหมก งบเห็ดแครง ในประเทศจีนมีการแนะนำให้คนไข้ที่เป็นโรคระดูขาว รับประทานเห็ดแครงที่ปรุงกับไข่เพื่อรักษาโรค และรับประทานร่วมกับใบชาโดยต้มเห็ดแครง 9 – 16 กรัม กับน้ำกินวันละประมาณ 3 ครั้ง ใช้เป็นอาหารบำรุงร่างกาย ในประเทศญี่ปุ่นใช้เป็นยาเนื่องจาก พบสารประกอบพวก polysaccharide ชื่อว่า Schizophyllan (1,3 B-glucan) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อไวรัสและยับยั้งเซลมะเร็งชนิด Sarcoma 180 และ Sarcoma 37 โดยทดลองใน หนูขาวยับยั้งได้ร้อยละ 70 – 100

คุณค่าทางโภชนาการ :

เห็ดแครง 100 กรัม ให้ โปรตีน 17.0 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม แคลเซียม 90 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 280 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 640 มิลลิกรัม

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

อาฎานาฏิยปริตร

อาฏานาฏิยปริตร
วิปัสสิสสะ นะมัตถุ / ความนอบน้อมแห่งข้าพเจ้าจงมีแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า / จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต / ผู้มีจักษุ ผู้มีสิริ / สิขิสสะปิ นะมัตถุ ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระสิขีพุทธเจ้า / สัพพะภูตานุกัมปิโน / ผู้ปกติอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง / เวสสะภุสสะ นะมัตถุ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระเวสสภูพุทธเจ้า / นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน /ผู้มีกิเลสอันล้างแล้ว ผู้มีตปะ/ นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระกกุสันธพุทธเจ้า / มาระเสนัปปะมัททิโน / ผู้ย่ำยีเสียซึ่งมารและเสนา / โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระโกนาคมพุทธเจ้า / พราหมะณัสสะ วุสีมะโต / ผู้มีบาปอันลอยแล้ว ผู้มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว/ กัสสะปัสสะ นะมัตถุ /ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระกัสสปพุทธเจ้า / วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ / ผู้พ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง / อังคีระสัสสะ นะมัตถุ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระอังคีรสพุทธเจ้า / สักยะปุตตัสสะ สิรีมะโต /ผู้เป็นโอรสแห่งศากยราชผู้มีสิริ/ โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ / พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงแสดงซึ่งธรรมนี้ / สัพพะทุกขาปะนูทะนัง / เป็นเครื่องบรรเทาเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง / เย จาปิ นิพพุตาโลเก/ อนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใดก็ดีที่ดับกิเลสแล้วในโลก / ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง /พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น เป็นคนไม่มีความส่อเสียด / มะหันตา วีตะสาระทา / ผู้เป็นใหญ่ผู้มีความครั่นคร้ามไปปราศแล้ว / หิตัง เทวะมะนุสสานัง, ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง / เทพดาและมนุษย์ทั้งหลายนอบน้อมอยู้ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้เป็นโคตมโคตร ผู้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เทพดา และมนุษย์ทั้งหลาย / วิชชาจะระณะสัมปันนัง/ ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ/ มหันตัง วีตะสาระทัง / ผู้ใหญ่ผู้มีความครั่นคร้ามไปปราศแล้ว / วิชชาจะระณะสัมปันนัง พุทธัง วันทามะ โคตะมันติ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอนมัสการพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้โคตมโคตรผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ / เอตอ จัญเญ จะ สัมพุทธา / พระพุทธเจ้าเหล่านี้ก็ดี เหล่าอื่นก็ดี / อะเนกะสะตะโกฏะโย / หลายร้อยโกฏิ/ สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดเสมอกันไม่มีใครเหมือน / สัพเพ พุทธา มะหิธิกา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนประกอบแล้วด้วยทศพลญาณ/ เวสารัชเชหุปาคะตา / ประกอบไปด้วยเวสารัชชญาณ / สัพเพ เต ปะฏิชานันติ / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนตรัสรู้อยู่ / อาสะภัณฐานะมุตตะมัง / ซึ่งอาสภฐานอันอุดม/ สีหะนาทัง นะทันเต เต, ปะริสาสุ วิสาระทา/ พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้องอาจไม่ครั่นคร้ามบันลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย / พรัหมะจักกัง ปะวัตเตนติ / ยังพรหมจักรให้เป็นไป/ โลเก อัปปะฏิวัตติยัง / อันใครๆยังไม่ไดให้เป็นไปแล้วในโลก / อุเปตา พุทธะธัมเมหิ /พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นประกอบแล้วด้วยพุทธธรรมทั้งหลาย/ อัฏฐาระสะหิ นายะกา / 18 เป็นนายก/ ทวัตติงสะลักขะณูเปตา สีตยานุพยัญชะนาธะรา / ผู้ประกอบด้วยพระลักษณะ 32 ประการ และทรงซึ่งอนุพยัญชนะ 80 / พยามัปปะภายะ สุปปะภา / มีรัศมีอันงามด้วยพระรัศมี มีมณฑลข้างละวา/ สัพเพ เต มุนิกุญชะรา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้น้วนเป็นมุนีอันประเสริฐ / พุทธา สัพพัญญุโน เอเต /พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นพระสัพพัญญู/ สัพเพ ขีณาสะวา ชินา / ล้วนเป็นพระขีณาสพ ผู้ชนะ / มะหัปปะภา มะหาเตชา/ มีพระรัศมีอันมาก มีพระเดชอันมาก / มะหาปัญญา มหัปผะลา / มีพระปัญญามาก มีพระกำลังมาก / มะหารุณิกา ธีรา / มีพระกรุณามาก เป็นนักปราชญ์/ สัพเพสานัง สุขาวะหา/ นำสุขมาเพื่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง/ ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ / เป็นเกาะ เป็นที่พึ่งและเป็นที่อาศัย/ ตาณา เลณา จะ ปาณินัง/ เป็นที่ต้านทานเป็นที่เร้นของสัตว์ / คะตี พันธู มะหัสสาสา / มีคติ เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นที่ยินดีมาก / สะระณา จะ หิเตสิโน / เป็นที่ระลึกและแสวงหาประโยชน์/ สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ/ เพื่อสัตว์โลกกับเทวโลก/ สัพเพ เอเต ปะรายะนา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นเบื้องหน้าของสัตว์ / เตสาหัง สิระสา ปาเท, วันทามิ ปุริสุตตะเม, วะจะสา มะนะสา เจวะ, วันทาเมเต ตะถาคะเต /ข้าพเจ้าขอวันทาพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้าและขอวันทาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นผู้เป็นบุรุษอันอุดมผู้เป็นตถาคต ด้วยวาจาและใจทีเดียว/ สะยะเน อาสะเน ฐาเน / ในที่นอนด้วย ในที่นั่งด้วย ในที่ยืนด้วย/ คะมะเน จาปิ สัพพะทา / แม้ในที่เดินด้วยในกาลทุกเมื่อ/ สะทา สุเขนะ รักขันตุ, พุทธา สันติกะรา ตุวัง /พระพุทธเจ้า ผู้กระทำความระงับ จงรักษาท่านด้วยความสุขในกาลทุกเมื่อ / เตหิ ตวัง รักขิโต สันโต/ ท่านผู้อันพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงรักษาแล้ว จงเป็นผู้ระงับ / มุตโต สัพพะภะเยนะ จะ, สัพพะโรโค วินิมุตโต/ พ้นแล้วจากภัยทั้งปวง / สัพพะสันตาปะวัชชิโต / เว้นแล้วจากความเดือดร้อนทั้งปวง / สัพพะเวระมะติกกันโต / ล่วงเสียซึ่งเวรทั้งปวง / นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ/ ท่านจงเป็นผู้ดับทุกข์ทั้งปวงด้วย / สัพพีตีโย วิวัชชันตุ / ความจัญไรทั้งปวงจงเว้นไป / สัพพะโรโค วินัสสะตุ / โรคทั้งปวงจงฉิบหายไป/ มา เต ภะวัตวันตะราโย / อันตรายอย่าได้มีแก่ท่าน / สุขี ทีฆายุโก ภะวะ / ขอท่านจงเป็นผู้มีสุขมีอายุยืน / อะภิวาทะนะสีลิสสะ, นิจจัง วัฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง / ธรรมทั้งปลาย 4 คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคล ผู้มีความไหว้ต่อบุคคลผู้ควรไหว้เป็นปกติ ผู้อ่นน้อมต่อบุคคลผู้เจริญเป็นนิตย์ ฯ