tag:blogger.com,1999:blog-88041609773763949352024-03-22T02:19:58.330+07:00banpagngomrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comBlogger35125tag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-41325186936213190392009-12-17T23:35:00.002+07:002009-12-17T23:37:43.120+07:00สูตรคั้วกลิ้งสูตรคั่วกลิ้ง<br />สูตรคั่วกลิ้ง<br /><br />1. เนื้อ 500 กรัม <br />2. กระเทียม 3 กรีบ<br />3. หอมแดง 4 หัว<br />4. ข่า ผ่าเป็นแว่น 4 แว่น<br />5. ตะใคร้ 3 ต้น<br />6. กะปิ 1 ช้อนชา<br />7. ผิวมะกรูดซอย 1 ช้อนชา (ลืมใบมะกรูดหั่นฝอยค่ะ)<br />8. พริกแห้งซักน้องๆ กำมือ (ตรงนี้ก็ลดๆได้ตามใจชอบค่ะ)<br />9. ขมิ้นแว่น 4 แว่น รึประมาณข้อนิ้วก้อย<br />10. พริกไทย<br />11. กะทิ น้ำปลา น้ำตาล<br />12. มาเพิ่มกุ้งแห้งค่ะ ซักหนึ่งกำมือ<br />แกงคั่วกลิ้งสันคอหมู ที่ใช้สันคอหมูเพราะเป็นส่วนที่นุ่ม ไม่เหนียว ปรุงไม่นานเนื้อก็นุ่มแล้วค่ะ ง่ายต่อแม่บ้านที่รีบทำทานในครอบครัว หรือจะเป็นอาหารจานเดียวก็ได้ค่ะ ดิฉันเลยเอาสูตรการทำแกงคั่วกลิ้งเนื้อสันคอหมูมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ เรามาเตรียมเครื่องปรุงกันก่อนนะคะ<br />เครื่องปรุง<br />- เนื้อสันคอหมูหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 3 ขีด<br />- ใบมะกรูด 10 ใบ ซอยให้เป็นสิ้นเล็กๆ ที่สุด<br />- ตะใคร้ 2 ต้น ซอยให้บางๆ<br />- พริกไทยอ่อน (เม็ดยังเขียวๆ) ประมาณ 20-30 เม็ด<br />- ซีอิ้วขาวเห็ดหอม<br />- น้ำตาลทราย<br />- เครื่องแกงคั่วกลิ้ง ประกอบด้วย<br />1. พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด<br />2. พริกขี้หนูสด 10 เม็ด<br />3. ตะใคร้ซอย 1 ต้น<br />4. หอมแดง 2 หัว<br />5. กระเทียม 8 กลีบ<br />6. พริกไทยดำ 20 เม็ด<br />7. ขมิ้นซอย 1 ช้อนโต๊ะ<br />8. เมล็ดผักชี ครึ่งช้อนโต๊ะ<br />9. ข่าซอย ครึ่งช้อนโต๊ะ<br />10. เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ<br />11. กะปิ 1 ช้อนชา<br />เอา 1-10 ใส่ครกโขลกให้ละเอียด ทุกอย่างละเอียดแล้วใส่ 11 ลงไป หรือว่าซื้อเครื่องแกงคั่วกลิ้งจากตลาดก็ได้สักประมาณ 1 ขีด<br />วิธีทำ<br />- ใส่น้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ<br />- ใส่เครื่องแกงลงไปผัดให้หอม เติมน้ำเล็กน้อย รอให้น้ำแกงเดือดจนเครื่องแกงละลายหมด<br />- ใส่เนื้อสันคอหมูลงไปผัดในเครื่องแกงจนเนื้อหมูสุก ปรุงรสด้วย ซีอิ้วขาว น้ำตาลทราย<br />- ใส่พริกไทยอ่อน ตะใครซอย ใบมะกรูดซอย ลงไปผัดให้เข้ากันเหลือน้ำขลุกขลิก<br />- ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ รับประทานกับข้าวร้อนๆ ตามด้วยผักเหนาะ สะตอ แตงกวา หรอยจังหู!<br />Tags: สูตรแกงคั่วกลิ้ง, อาหารปักษ์ใต้, เมนูคั่วกลิ้ง<br />Publié dans อาหารประเภทแกง | Aucun commentaire »rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-45539673139812866482009-12-16T22:39:00.001+07:002009-12-16T22:41:56.666+07:00วิธีสังเกตุมะเร็ง- รักษ์ภาษาไทย ใช้ให้ถูกหลัก -วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ <br />อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย <br />1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้ <br />2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง <br />3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง <br />4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง <br />5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน <br />6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด <br />7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ <br />8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย <br />9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน <br />10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้ <br />11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ <br />12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่ <br />13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ <br />**** ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้ <br />14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ <br />ถึงท่าน ผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาลrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-12802663757605765352009-12-16T11:01:00.002+07:002009-12-16T11:06:27.917+07:00การเพาะเห็ดฟางโดยใช้ทะลายปาล์มน้ำมันเห็ดฟางเป็นเห็ดที่คนไทยรู้จักกันมานาน เป็นเห็ดชนิดแรกที่มีการทดลองเพาะใน<br />ประเทศไทยเป็นเห็ดที่เพาะง่าย ใช้ระยะเวลาในการเพาะสั้นกว่าเห็ดชนิดอื่น โดยใช้ระยะเวลาเพียง 10-12 วัน ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ การเพาะเห็ดฟางสมัยก่อนใช้ซังข้าวหรือตอซังในการเพาะ<br />แต่ในปัจจุบันการเพาะเห็ดฟางสามารถใช้วัสดุเพาะได้หลายชนิด เช่น เปลือกถั่วเขียว <br />กากมันสำปะหลัง ผักตบชวา ชานอ้อย ขี้เลื่อยไม้ยางพารา และทะลายปาล์มน้ำมันก็เป็นวัสดุชนิดหนึ่งที่นิยมใช้มาก ในปัจจุบันที่สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางได้ดีไม่แพ้กับการเพาะด้วยฟางข้าว<br />ความสำคัญของเห็ดฟาง<br />1. เห็ดฟางเป็นพืชผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยโปรตีน เกลือ แร่และวิตามินต่าง ๆเป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงและมีสารต่อต้านการเกิดโรคเร็ง<br />2. วัสดุเพาะหาได้ง่ายและใช้ได้หลายชนิด ใช้ระยะเวลาเพาะสั้น<br />3. เห็ดฟางสามารถเพาะเป็นอาชีพเสริมรายได้และสามารถเพาะเป็นอาชีพหลัก<br />เลี้ยงครอบครัวได้<br />สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการเพาะเห็ดฟาง<br />1. อุณหภูมิ อุณหภูมิมีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดฟางโ ดยเห็ดฟางต้องการ<br />อุณหภูมิสำหรับการเจริญเติบโตของเส้นใยระหว่าง 35-38 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิสำหรับการออกดอกระหว่าง 28-32 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำเกินไป เส้นใยเห็ดเจริญช้าและถ้ามีการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเร็วเกินไป จะมีผลต่อรูปร่างลักษณะของดอกเห็ด<br />2. ความชื้น เห็ดฟางต้องการความชื้นค่อนข้างสูง คือความชื้นในอากาศประมาณ 80-90 เปอร์เซนต์และความชื้นในวัสดุเพาะ 60-70 เปอร์เซ็นต์<br />3. อากาศ ระยะการพัฒนาเป็นดอกที่สมบูรณ์ต้องการอากาศสูงมากควรเปิดช่องระบายอากาศบริสุทธิ์เข้าไป และระบายอากาศเสียความชื้นที่มากเกินไปออกจากแปลงเพาะ<br />4. แสงสว่าง ควรควบคุมแสงให้ผ่านเข้าไปเพียงเล็กน้อย เพราะแสงมีอิทธิพล ต่อสีของดอกเห็ดคือถ้าได้รับแสงมากเกินไปดอกเห็ดจะมีสีคล้ำไม่เป็นทีนิยมของผู้บริโภค<br />5. ความเป็นกรด-ด่างของดิน ถ้าดินเป็นกรด-ด่างมากเห็ดจะให้ผลผลิตต่ำการออกดอกไม่ดี เห็ดฟางเจริญและให้ผลผลิตดีในช่วงค่าความเป็นกรดด่าง ประมาณ<br />7.2 - 8.0<br /><br />6. ความต้องการธาตุอาหาร สารอาหารที่ทำให้เร่งการเจริญเติบโต ได้แก่แป้ง กลูโกส น้ำตาล ซูโครส<br /><br />การเพาะเห็ดฟางแบบกลางแจ้ง<br />วัสดุ - อุปกรณ์การเพาะ<br />1. เชื้อเห็ดฟาง เชื้อเห็ดที่ได้ต้องไม่อ่อนหรือแก่เกินไป โดยสังเกตุจากเส้นใย<br />กล่าวคือ ถ้าเส้นใยเดินไม่เต็มก้อน แสดว่าเชื้อยังอ่อนต้องรอให้เส้นใยเดินเต็มก้อนเชื้อและกลิ่นหอมคล้ายดเห็ด ไม่มีเชื้อราอื่นปน แต่ถ้าเชื้อแก่เส้นใยจะเป็นสีน้ำตาล หรือชมพูอ่อนหรือเกิดเป็นตุ่มดอกในก้อนเชื้อ ถ้าเชื้อได้มาจากการต่อเชื้อมามากช่วงแล้วดอกเห็ดที่ได้จะมีขนาดเล็ก <br />โตเร็วบานเร็ว<br />2. วัสดุเพาะ ได้แก่ กากทะลายปาล์มน้ำมันที่ได้สกัดเอาผลออกแล้วเป็นกากทะลายปาล์มที่ใหม่ ไม่มีเชื้อราอื่นปะปน<br /> <br />3. แบบพิมพ์ เป็นแบบไม้รูสี่เหลี่ยมคางหมู คือ มีขนาดด้านล่างกว้างประมาณ <br />40 ซม. ด้านบนกว้าง 30 ซม. สูง 30 ซม.และยาว 100 ซม. มีมือจับด้านหัวท้าย<br /> <br />4. อาหารเสริม ได้แก่ รำละเอียด ไส้นุ่น มูลสัตว์ที่ย่อยสลายตัวแล้ว เช่น มูลวัว<br />ถ้าเป็นมูลไก่ต้องผสมดินร่วนอัตราส่วน 2: 1 <br /> <br />5. น้ำ ต้องเป็นน้ำสะอาดปราศจากคลอรีน กลิ่นไม่เน่าเหม็น ไม่เป็นน้ำเค็มหรือ<br />น้ำกร่อย<br />6. อุปกรณ์การให้น้ำ ถังน้ำ บัวรดน้ำ หรือถังน้ำ 200 ลิตร (สำหรับแช่ทะลายปาล์ม) เป็นต้น<br />7. อุปกรณ์การเตรียมดิน เช่น จอบ คราด มีดพร้า เป็นต้น<br />8. อุปกรณ์การคลุมกองเห็ด ได้แก่ พลาสติก ไม้ไผ่ เศษฟาง ทางมะพร้าว <br />กระสอบปุ๋ย เป็นต้น<br />9. ปูนขาว ใช้โรย พื้นดินเพื่อปรับความเป็นกรด - เป็นด่าง ของดิน<br />ขั้นตอนการเพาะเห็ดฟาง<br /> การเพาะเห็ดฟางโดยใช้กากทะลายปาล์มน้ำมัน มีวิธีการเพาะ 2 แบบด้วยกัน คือ<br />1. การเพาะโดยใช้แบบพิมพ์<br />2. การเพาะโดยไม่ใช้แบบพิมพ์<br />การเพาะโดยใช้แบบพิมพ์ มีขั้นตอน ดังนี้<br />1. การเตรียมพื้นที่ พื้นที่จะใช้เพาะเห็ดฟางไม่ควรเป็นกลางแจ้งมากนัก และไม่เป็นที่ลุ่ม น้ำท่วมขัง การเตรียมพื้นที่โดยการกำจัดวัชพืชแล้วขุดพลิกดินยกเป็น<br />แปลง สูงประมาณ 5-10 ซม. กว้าง 1.50 - 2.0 เมตร ยาวตามขนาดของพื้นที่ จากนั้นใช้ปูนขาวโรยบาง ๆ<br /><br /><br /><br />2. นำกาทะลายปาล์มน้ำมัน มาหมักรดน้ำให้เปียกประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งวันละ <br />ครั้ง เสร็จแล้วให้ใช้พลาสติกสีดคลุมให้มิดชิด ทำอย่างนี้ประมาณ 4 วันแล้วคลุมพลาสติกทิ้งไว้อีก 12-15 วัน หรือใช้วิธีวิธีแช่น้ำในถังหมัก หรือใช้ถัง ลิตร แช่หมักจนกระทั่งสังเกตว่า ไม่มีฟองอากาศ จึงนำไปใช้เพาะ<br />3. นำกากทะลายปาล์มใส่ลงในพิมพ์ ใช้ทะลายเล็กหรือฝอยอัดด้านข้างให้แน่พอสมควร <br />4. โรยอาหารเสริม มูลวัว มูลไก่ผสมดินร่วน โดยห่างจากขอบพิมพ์ประมาณ <br /> 1 ฝ่ามือ แล้วรดน้ำให้เปียก<br />5. นำเชื้อเห็ดฟางมาขยี้ให้ร่วนพร้อมกับผสมรำละเอียดเล็กน้อย หรืออาหารเสริม<br />สำเร็จรูป หรือไม่ผสมก็ได้ นำไปโรยทับบนอาหารเสริมจะได้เป็นกองเห็ดชั้นที่ 1<br /> <br />6. ทำการเพาะเห็ดชั้นที่ 2และ 3 ต่อไป โดยใช้เฉพาะทะลายที่เป็นฝอยเท่านั้น จาก <br /> จากนั้นให้ยกพิมพ์ออก<br />7. ทำการเพาะกองต่อไป โดยให้ห่างจากกองแรกประมาณ 3-12 นิ้วเพาะต่อไป<br />จนได้ 8-10 กอง<br />8. โรยอาหารเสริมระหว่างกองแล้วรดน้ำและโรยเชื้อเห็ดฟางเล็กน้อย <br />เพื่อให้เห็ดขึ้นบนดินด้วย<br />9. นำไม้ไผ่ผ่าซีกปักโค้ง โดยอาจปักกองเว้นกองเพื่อรองรับพลาสติก จากนั้นใช้<br /> พลาสติกปิดทับบนไม้ไผ่ ใช้ก้อนดิน หิน หรือไม้ทับขอบพลาสติก เพื่อป้องกัน<br /> ลมพัดเปิดพลาสติก และใช้ทางมะพร้าว กระสอบปุ๋ยปิดพลาสติกอีกครั้งเพื่อบัง<br /> แสงในกรณีที่กองเห็ดได้รับแสงมากเกินไป<br />การเพาะโดยไม่ใช้แบบพิมพ์<br /> 1. การเตรียมพื้นที่ เตรียมเหมือนกับการเพาะโดยใช้แบบพิมพ์เพาะ<br />2.นำทะลายปาล์มมากองเป็นแถวยาว โดยใช้ทะลายปาล์มที่ผ่านการหมักย่อยสลาย<br /> ประมาณ 3 แถว เรียงติดกัน เป็น 1 กอง (จำนวน 9 ทะลาย)ใช้ฝอยปาล์มอัดทับ<br /> บนทะลาย จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม<br />3. เตรียมเชื้อเห็ดฟาง เหมือนกับการเพาะแบบใช้พิมพ์<br />4. ใช้อาหารเสริมโรยทับทะลายปาล์ม เช่น มูลวัว มูลไก่ (ถ้าเป็นมูลไก่ต้องผสม<br /> อัตราดินร่วนส่วน 1: 1) และโรยบนดินด้วย รดน้ำให้ชุ่มอีกครั้ง<br />5. โรยเชื้อเห็ดฟางลงไป ทั้งบนทะลายปาล์มและบนดิน<br />6. ปักไม่ไผ่โค้ง (ขนาดยาว 2 เมตร) เป็นโครงรองรับแผ่นผ้าพลาสติก<br /> <br />7. คลุมด้วยผ้าพลาสติก ทับชายพลาสติกด้วยดิน หิน หรือไม้<br /> การดูแลรักษา<br />1. การระบายความร้อน หลังจากเพาะเห็ดแล้ว 4-5 วัน ให้เปิดชายพลาสติก<br />ออกบ้างเพื่อระบายความร้อนออกจากกองเห็ดบ้าง เพราะถ้าอากาศร้อนเกินไปเส้นใยเห็ดจะไม่รวมตัวเป็นดอก นอกจากช่วยระบายความร้อนแล้วยังเป็นการเพิ่มอากาศให้กับเห็ดอีกด้วย<br />2. การให้น้ำ ถ้าความชื้นในกองเห็ดต่ำ โดยเฉพาะการเพาะเห็ดแบบไม่ใช้ แบบ<br />ไม่ใช้พิมพ์ ถ้าไม่มีการแช่ทะลายปาล์ม ความชื้นในกองเพาะมักจะน้อยโดยสังเกตจากไอน้ำที่<br />เกาะอยู่ที่พลาสติกจะมีอยู่น้อยต้องให้น้ำโดยการพ่นเป็นฝอยหรือรดน้ำที่ดินรอบ ๆกองเห็ด<br />ห้ามรดลงบนกองเพาะเห็ด<br />3. การป้องกันกำจัดศัตรูเห็ดฟาง ถ้ามีศัตรูเห็ดฟางเข้าทำลายเห็ดฟางในขณะที่เพาะเห็ดไม่แนะนำให้ใช้สารเคมีใด ๆ ในการกำจัด ให้ใช้วิธีการป้องกันหรือหลีกเลี่ยง<br />โรคเห็ดฟาง<br />1. โรคราเมล็ดผักกาด เกิดกับเห็ดฟางที่ใช้วัสดุเพาะเก่าเก็บค้างปี ลักษณะที่พบคือเส้นใยขอเชื้อรามีลักษณะหนากว่าเส้นใยของเห็ดฟาง เริ่มเกิดในวันที่ 3 และ 4ของการเพาะเห็ดและเจริญเติบโตรวดเร็ว ต่อมาจะเกิดเส้นใยแผ่ขยายออกไป มีลักษณะเป็นวงกลม โดยเฉพาะที่หลังกองเมื่อเส้นใยมีอายุมากขึ้น จะสร้างส่วนขยายพันธุ์รูปร่างวงกลม สีขาวอ่อน และเมื่อแก่มีลักษณะคล้ายเมล็ดผักกาด จึงได้ชื่อว่า ราเมล็ดผักกาด ซึ่งเชื้อรานี้มักเกิดเป็นหย่อม ไม่กระจายไปทั้งแปลงแต่ทำลายเส้นใย ของเห็ดโดยตรง ทำให้เห็ดมีลักษณะอ่อนนิ่มกว่าดอกปกติ<br />2. เป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่ในดินหรืออยู่ในอากาศก็ได้ เมื่อดินหรือวัสดุเพาะขึ้นราเขียวเป็นราที่สร้างสปอร์เมื่อมีตวามชื้นเหมาะสม จึงเจริญเติบโตขยายพันธุ์ระบาดแข่งขันทำให้เชื้อเห็ดฟางบริเวณที่มีราเขียวเจริญไม่ทัน ทำลายดอกเห็ดอ่อน ๆได้ ขณะเส้นใยอ่อนมีลักษณะเป็นสีขาวเส้นใยบาง ๆ<br />3. ราเห็ดหมึก หรือเห็ดขี้ม้า เกิดจากการหมักฟางไม่ได้ที่ มีแกสแอมโมเนียเหลืออยู่<br />หรือเกิดจากการใช้ฟางเก่าหรือวัสดุเพาะที่มี่เชื้อเห็ดหมึกอยู่ หรืออาจเกิดจากกองเพาะเห็ดร้อนและแฉะเกินไป เมื่อคลุมพลาสติกไว้จึงมีลักษณะเหมือนกับเกิดการหมักขึ้น <br />ปัญหาที่ทำให้เห็ดไม่ออกดอก<br />ปัญหา สาเหตุ การแก้ไข<br />1.เส้นใยไม่เดิน - กองเพาะและเกินไป<br />- กองเพาะแน่นเกินไป<br />- หัวเชื้ออ่อน<br />- หัวเชื้อแก่เกินไป<br />- หัวเชื้อหมดอายุ<br />- อุณหภูมิในกองเพาะ<br /> หรือในโรงเรือนสูง<br /> หรือต่ำเกินไป กองเพาะมีเชื้อรา<br />- ปนเปื้อนหลายชนิด<br />- ฟางเก่าเกินไป<br /><br />- หัวเชื้อหมดอายุ<br />- เพาะต่อดอกหลายครั้ง<br /><br />- หัวเชื้ออ่อนเกินไป อัดกองเพราะหลวมเกินไปทำให้ดอกเห็ดที่ออกมาเหี่ยว<br /><br />- เกิดเชื้อบักเตรีเข้าทำลายดอกเห็ดอ่อน ดอกเห็ดได้รับการกระทบกระเทือนขณะเก็บ<br />รดน้ำดอกเห็ดขณะกำลังตูม แช่ฟางนานเพียงแค่ดูดน้ำอิ่มตัวอย่าแช่นานเกินไป อัดฟางให้พอดี ๆอย่าอัดจนแน่น ซื้อหัวเชื้อ<br />จากแหลางที่เชื่อถือได้ เลือกหัวเชื้อคุณภาพดี<br />ถ้าเป็นเห็ดฟางกองเตี้ยให้เปิดผ้าพลาสติกระบายอากาศในกรณีที่อากาศร้อนและทำแปลง<br />ชิดกันในหน้าหนาว ควรใช้ฟางใหม่ ไม่ควรเพาะช้ำที่<br />เลือกซื้อหัวเชื้อคุณภาพดีจากแหล่งที่เชื้อถือได้<br />อัดกองเพาะให้แน่นขึ้น ขณะเตรียมแปลงไม่<br />ควรรดน้ำขณะเกิดดอกอ่อน<br />รักษาความสะอาดของแปลงเพาะ<br />เก็บดอกเห็ดให้ถูกวิธีและระมัดระวัง<br /><br />ควรโชยน้ำเล็กน้อยเพื่อให้ความชื้นแปลงเพาะ<br />2.เส้นใยเดินแต่ไม่ออกดอก<br /><br />3.เกิดดอกเห็ดเล็ก ๆ<br />แต่ภายหลังเกิดดอกฝ่อ<br /><br /><br />4.ดอกเห็ดนิ่มและเน่า <br /> <br /> ศัตรูเห็ดฟาง<br />1. ไร จะพบระบาดมากในฤดูฝน ไรจะทำลายในระยะที่เส้นใยเห็ดกำลังแผ่ขยายออกทำ<br />ให้เส้นใยเห็ดขาดออกจากกันไม่สามารถฟอร์มดอกและเจริญต่อไป กำจัดโดยใช้ยาฉุน 1 ซอง (ใหญ่) แช่น้ำ 1 ลิตร นาน 12 ชั่วโมงฉีดพ่น<br />2. ปลวก มด แมลงสาบ จะเข้าไปทำรังหริอเข้าไปทำลายเส้นใยเห็ดและกัดกินดอกเห็ด<br />การเพาะให้เลือกพื้นที่ไม่มีปลวก แมลง รบกวน<br /> การป้องกันกำจัดศัตรูเห็ดฟาง<br /> การที่ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเพาะจนถึงสิ้นสุดการเก็บผลผลิตเห็ดฟาง มีเพียง 10 - 12 วันเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลอันหนึ่งที่ไม่มีการใช้ยาเคมีในพืชผักชนิดนี้ ดังนั้นวิธีการสำคัญในการป้องกันกำจัดศัตรูเห็ดฟาง คือวิธีการรักษาความสะอาดและการปฏิบัติดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอและการเอาใจใส่ใกล้ชิด ดังนี้<br />1. เลือกหัวเชื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ว่าเป็นพันธุ์ดี ให้ผลผลิตสูงมีการปนเปื้อนน้อยที่สุดหรือไม่มี<br />2. เลือกตอซังหรือฟางข้าวนวดที่สะอาดปราศจากเชื้อราเมล็ดผักกาด ฟางต้องมีลักษณะแห้งสนิทและอมน้ำได้ง่าย วัสดุเพาะทุกชนิดไม่ควรทิ้งให้ตากแดดตากฝน หรือเก็บ<br />ค้างปี<br />3. มีความเข้าใจถึงสภาพความต้องการต่าง ๆ ในการเจริญเติบโตของเห็ดฟาง เพื่อจะได้ปฏิบัติดูแลกองเพาะอย่างถูกต้อง เช่น เรื่องอุณหภูมิในกองเพาะขณะที่เส้น ใยเจริญเติบโต ต้องการอุณหภูมิระหว่าง 35 -38 อวศาเซลเซียส ซึ่งถ้าในกองเพาะร้อนหรือเย็นเกินไป ก็ควรจะต้องระบายอากาศ เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอ๊อกซิเจน ต้องเผารอบกองเพาะ เพื่อให้ความร้อนแก่กองฟางในฤดูหนาว นอกจากนี้ยังควรเข้าใจเรื่องความชื้น <br />แสงสว่าง ความเป็นกรด-ด่าง และความสามารถในการใช้อาหารของเห็ดฟางอีกด้วย<br />4. ความสะอาดของแปลงเพาะ ก่อนเพาะควรจะได้ถางหญ้าเตรียมดินไว้เสียก่อน และเมื่อ<br />การเพาะเสร็จสิ้นควรนำฟางที่ใช้แล้วเป็นปุ๋ยหมัก เผาหรือตากดินบริเวณแปลงเพาะที่ใช้แล้วทิ้งไว้ประมาณ 4-5 วัน เพื่อฆ่าเชื้อราที่สะสมในบริเวณนั้น เป็นการเตรียมที่เพาะในครั้งต่อไป และเป็นการลดประมาณเชื้อราที่อาจมีอยู่ในดิน สำหรับการเพาะ<br />เห็ดฟางในโรงเรือนแบบอุตสาหกรรม ควรมีการพักโรงเรือนเป็นครั้งคราวและทำความ<br />สะอาดโรงเรือนเพื่อทำลายศัตรูเห็ดฟางก่อนที่เพาะในรุ่นต่อไป<br /> เมื่อสามารถปฏิบัติในเช่นนี้ ท่านก็สามารถที่จะเพาะเห็ดฟางได้ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน<br /><br />การเก็บดอกเห็ด<br /> ควรเก็บเมื่อดอกเห็ดฟางโตเต็มที่คือมีลักษณะเต่งตึง ปลอกหุ้มขยายตัวเต็มที่ ดอกเห็ดมีลักษณะเป็นหัวแป้นอยู่ก็ควรรอไว้อีกหนึ่งหรือครึ่งวัน แต่เมื่อเห็ดมีลักษณะหัวยึดขึ้นแบบหัวพุ่ง<br />ก็ต้องเก็บทันทีมิฉะนั้นดอกเห็ดจะบาน ทำให้ขายไม่ได้ราคา วิธีการเก็บดอกเห็ดให้ใช้นิ้วชี้กับ<br />นิ้วหัวแม่มือกดดอกเห็ดแล้วหมุนเล็กน้อยยกขึ้นเบา ๆ<br />ดอกเห็ดจะหลุดออกมาแล้วให้ใช้มีดคม ๆ ตัดโคนดอกเพื่อเอาสิ่งสกปรกออกจากนั้นก็นำไปเก็บไว้ในที่เย็น เพราะถ้าเก็บไว้ในที่ร้อนอบอ้าว แล้วจะทำให้ดอกเห็ดบานเร็ว<br /><br />คุณค่าทางโภชนาการของเห็ดฟาง<br /><br />คุณค่าทางอาหาร เห็ดฟาง เห็ดฟางแห้ง<br />โปรตีน<br />ไขมัน<br />คาร์โบไฮเดรต<br />เส้นใย/กาก<br />เถ้า<br />พลังงาน<br />แคลเซียม<br />เหล็ก<br />ฟอสฟอสรัส 3.40<br /> 1.80<br /> 3.90<br /> 1.40<br /> <br />-<br />44 แคลอรี่ <br /> 8 มิลลิกรัม<br />11 มิลลิกรัม<br />-<br /><br /><br /><br /> 49.04<br /> 20.63<br /> 17.03<br /><br /><br /> 13.30<br /> 4,170 แคลอรี่<br />2.35 ของเถ้า<br />0.99 ของเถ้า<br />30.14 ของเถ้าrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-42942069696212830972009-12-16T10:54:00.000+07:002009-12-16T11:00:11.178+07:00การเพาะเห็ดฟางโดยใช้ทะลายปาล์มน้ำมันปาล์มน้ำมันพืชเศรษฐกิจของ จ.กระบี่ ที่วันนี้ไม่ใช่มีราคาแค่เมล็ดเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบป้อนโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น แต่ยังมีส่วนอื่นๆ ของปาล์มที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพิ่มมูลค่าให้แก่เกษตรกรเจ้าของสวนปาล์มได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทะลายปาล์ม ที่เมื่อก่อนมองดูเป็นสิ่งที่ไร้ค่า แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นสิ่งที่มีราคา เป็นที่ต้องการของเกษตรกรที่ยึดอาชีพเพาะเห็ดฟางอย่างมาก<br />หลังจากที่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก) จ.กระบี่ ร่วมกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีกระบี่ จัดหลักสูตรอบรมการใช้ประโยชน์จากปาล์มน้ำมันแก่เกษตรกรผู้ปลูกปาล์มในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน ภายใต้โครงการสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างเกษตรกรรุ่นใหม่ให้มีความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เข้าถึงองค์ความรู้และจัดการเทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน<br />สฤษดิ์ วิเศษมาก เกษตรกรชาวสวนปาล์ม วัย 30 ปีเศษ อยู่บ้านเลขที่ 100 หมู่ 5 ต.โคกยาง อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ หนึ่งในผู้สำเร็จจากการอบรมในหลักสูตรดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันได้หันมายึดอาชีพเพาะเห็ดฟางจากทะลายปาล์มอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีรายได้จากการจำหน่ายผลผลิตเดือนละไม่ต่ำกว่า 10,000-15,000 บาท โดยมีตลาดหลักอยู่ที่กรุงเทพฯ ทั้งตลาดไทและสี่มุมเมือง<br />"ผมเป็นคนสุราษฎร์มาอยู่กระบี่ได้ 4-5 ปีแล้ว มาแต่งงานมีครอบครัวที่นี่ มีสวนปาล์มอยู่ 15 ไร่ แต่ไม่ค่อยสนใจมากนัก เพราะอาชีพที่ทำรายได้หลักผมทุกวันนี้ก็คือการเพาะเห็ดฟางขาย"<br />สฤษดิ์บอกว่าการเพาะเห็ดฟางของเขาจะต่างจากที่อื่นๆ ที่ต้องลงทุนสร้างโรงเรือนขนาดใหญ่หรือใช้อุปกรณ์ในการเพาะ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่สูง ในขณะที่ตนเองนั้นจะใช้ทะลายปาล์ม ซึ่งเป็นเศษวัสดุเหลือใช้ที่หาได้ง่ายในพื้นที่มาใช้เป็นอุปกรณ์ในการเพาะเห็ด โดยเมื่อก่อนจะใช้ทะลายปาล์มจากสวนของตนเอง แต่หลังจากได้ขยายพื้นที่การเพาะเห็ดเพิ่มขึ้น จึงต้องไปหาซื้อจากโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มในราคาตันละ 400 บาท<br />"ตอนนี้ที่บ้านทำอยู่ประมาณ 100 ร่อง แต่ละร่องจะยาว 4 เมตร กว้าง 80 เซนติเมตร และจะใช้ทะลายปาล์ม 3 หัวเรียงติดต่อกัน ผลผลิตแต่ละร่องจะเก็บได้ประมาณ 5-6 กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งทุกวันนี้ผลผลิตที่เก็บได้เฉลี่ยอยู่ที่ 60 กิโล/วัน โดยจะส่งให้พ่อค้าที่กรุงเทพฯ ทั้งที่ตลาดไทและตลาดสี่มุมเมือง ในราคา 38-40 บาทต่อกิโลกรัม โดยจะไปส่งที่สนามบินกระบี่ทุกวัน"<br />สฤษดิ์ยอมรับว่าอาชีพการเพาะเห็ดฟางจากทะลายปาล์มใน จ.กระบี่ ขณะนี้เริ่มมีผู้สนใจกันมากขึ้น เกษตรกรชาวสวนปาล์มใน จ.กระบี่ ส่วนใหญ่ได้หันมาเพาะเห็ดฟางจากทะลายปาล์มกันมากขึ้น เนื่องจากเป็นอาชีพที่ทำรายได้ดีและไม่มีปัญหาในเรื่องตลาด บางพื้นที่ก็มีการรวมกลุ่มทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นที่น่ายินดีที่หน่วยงานภาครัฐได้ให้ความสำคัญ มีโครงการต่างๆ จัดอบรมถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกรชาวสวนปาล์มมากขึ้น<br />"อย่างเมื่อก่อนการเพาะเห็ดของผมจะทำแบบง่ายๆ ไม่มีความรู้ทางวิชาการเข้ามาจับ ทำให้บางครั้งก็เกิดปัญหาผลผลิตเสียหายมาก มีโรคระบาดเกิดขึ้น ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องทำลายทิ้ง ต้องเป็นหนี้เป็นสินต่อ ส่วนทะลายปาล์มที่หมดสภาพจากการเพาะเห็ดเขาก็แนะนำให้นำไปทำปุ๋ยอินทรีย์ หลังจากที่เมื่อก่อนทิ้งอย่างเดียว" สฤษดิ์ย้ำชัด<br />นับเป็นอีกก้าวความสำเร็จของเกษตรกรผู้ปลูกปาล์มอย่าง "สฤษดิ์ วิเศษมาก" ที่สามารถนำวัสดุที่เหลือใช้อย่างทะลายปาล์มมาประยุกต์เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะเห็ดฟางเพื่อเสริมรายได้อีกทางหนึ่งrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-89041411884360094212009-10-28T02:28:00.000+07:002009-10-28T02:32:23.372+07:00กล้วยตัดใบโอชารส" กล้วยพื้นบ้านใบใหญ่ ชาวบางสะพานปลูกไว้ขายใบตองในช่วงเทศกาลลอยกระทงที่ผ่านมา "ใบตอง" ก็ยังคงเป็นวัตถุดิบสำคัญในการประดิษฐ์กระทงใบสวยของคนไทย ตกแต่งเป็นกลีบงามเข้ากับหยวกกล้วย บ้างพับเรียงเป็นบายศรีขนาดเหมาะ แม้ว่ากระทงที่ทำจากขนมปัง ใบลาน หรือเปลือกข้าวโพดจะเข้ามาเป็นตัวเลือกมากขึ้น เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่กระทงที่งดงามในใจของผู้เขียนก็ยังเป็นกระทงที่ทำจากใบตองไม่เสื่อมคลายอาจเพราะความคุ้นเคยแต่วัยเยาว์ของการใช้ใบตองในวิถีไทย จึงเห็นว่ากระทงใบตองมีเสน่ห์ ไม่แตกต่างจากการใช้ใบตองในการอื่นๆ เมื่ออดีต เช่น การใช้ใบตองห่อขนมต่างๆ ใช้ห่อข้าวต้มมัด ห่อแหนม หมูยอ ห่อปลาทู หรือทำห่อหมก สร้างเอกลักษณ์ของอาหารไทยได้อย่างดี กับเรื่องอาหารการกินนี้คนไทยยังให้ความสำคัญกับใบตองถึงปัจจุบันอย่างน่าชื่นใจใบตองที่นิยมใช้กันมากคือ ใบตองตานี มีลักษณะใบที่สวยงาม ใบยาว สีเขียวเข้ม และทนทานไม่แตกง่าย ปลูกมากในจังหวัดสุโขทัย หรือหากลงใต้มาก็ปลูกกันมากที่ชุมพร แต่ที่ประจวบคีรีขันธ์ไม่ไกลกับชุมพรนั้น ก็มีใบตองที่ชาวบ้านนิยมเช่นเดียวกัน ...ไม่ใช่กล้วยตานี แต่เป็นใบตองกล้วยพื้นบ้านที่ชาวบ้านเรียกกันว่า กล้วย "โอชารส" มีลักษณะใบค่อนข้างหนา สีเขียวสด และมีใบที่ใหญ่มาก คุณสุชาติ เชื้อพราน ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 ตำบลพงศ์ประศาสน์ อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บอกถึงกล้วยโอชารสว่า เป็นกล้วยพื้นบ้านที่ชาวบ้านนิยมปลูกเพื่อตัดใบขายเป็นหลักมานาน เนื่องจากมีใบใหญ่ หนา ต่างจากกล้วยใบตองทั่วไป น้ำหนักดี ทน เหนียว ไม่แตกง่าย ปลูกได้ดีในพื้นที่ แตกหน่อได้ง่าย ชาวบ้านนิยมปลูกแซมในสวนมะพร้าว ซึ่งผู้ใหญ่สุชาติเองก็ปลูกไว้เป็นรายได้เสริมในสวนผสมผสาน ที่มีทั้งมะพร้าวและไม้ผล บนพื้นที่ 10 ไร่ ของเขาเช่นเดียวกัน "ผมก็ไม่รู้ว่าที่อื่นเขาเรียกว่ากล้วยอะไรนะ แต่ที่ปลูกกันมานานแล้ว จะมีแม่ค้ามารับซื้อถึงที่ ขายเป็นใบตองได้กิโลกรัมละ 6 บาท แต่ไม่ค่อยมีหัวปลีนะ ส่วนผลมันจะเอามาทำเป็นขนมกล้วยโขลก บางคนก็เอาไปทำกล้วยปิ้งแต่ไม่ค่อยนิยมเท่าไหร่ เพราะมีกล้วยอื่นที่รสชาติดีกว่า ส่วนใหญ่จะเอาผลไปใช้ทำอาหารหมู อาหารวัว" ผู้ใหญ่เล่าแต่เมื่อผู้เขียนสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกล้วยพันธุ์โอชารสนี้ ก็ไม่พบและไม่น่าจะเป็นพันธุ์ใหม่ สอบถามกับ คุณพานิชย์ ยศปัญญา หัวหน้ากองบรรณาธิการเทคโนโลยีชาวบ้าน ก็ยังงุนงง ด้วยชื่อไม่คุ้นเลยสักนิด กระทั่งดูภาพถ่ายของผลและลักษณะต้น คุณพานิชย์ก็บอกเลยว่าเป็นกล้วยพันธุ์เดียวกับกล้วย "เทพรส" หากแต่มีลักษณะใบใหญ่ หนา เป็นพิเศษ ซึ่งอาจมาจากคุณภาพดินที่อุดมสมบูรณ์ เมื่อเปรียบเทียบลักษณะของกล้วยเทพรส กับกล้วยโอชารส จากคำบอกเล่าของผู้ใหญ่สุชาติก็ใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือ มีลำต้นสูง ใบใหญ่ กาบลำต้นสีเขียว ท้องใบมีนวล ผลขนาดใหญ่เป็นเหลี่ยมค่อนข้างยาว บางทีมีดอกเพศผู้หรือปลี บางทีไม่มี ถ้าหากไม่มีดอกเพศผู้ จะไม่เห็นปลี การมีปลีและไม่มีปลีนี้เกิดจากการกลายพันธุ์แบบกลับไปกลับมาได้ ในสมัยโบราณเรียกกล้วยเทพรสที่มีปลีว่า กล้วย "ทิพรส" จึงอาจกล่าวได้ว่า กล้วยโอชารส ก็คือชื่อพื้นบ้านอีกชื่อของกล้วยเทพรสนั่นเองกลับมาที่ชาวบางสะพานที่สร้างรายได้เสริมจากกล้วยใบใหญ่นี้กันต่อ ผู้ใหญ่สุชาติ บอกว่า หากนำหน่อกล้วยไปลงปลูกในพื้นที่ปลูกใหม่ แนะนำให้ปลูกห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร แต่ไม่ควรปลูกในพื้นที่ที่เป็นดินทราย เมื่อลงปลูกแล้วก็ให้เทวดาเลี้ยงได้เลย เมื่อกล้วยอายุ 6 เดือน ก็สามารถตัดใบส่งจำหน่ายได้แล้ว แต่หากเป็นต้นใหม่จากกอเดิมต้องรอประมาณ 1 ปี จึงจะตัดได้ และสามารถตัดขายได้ตลอดทั้งปี หากหมดอายุหรือครบ 1 ปี ก็สามารถตัดลำต้นหรือหยวกกล้วยขายเพื่อเป็นอาหารสัตว์ได้อีก ทุกวันนี้เขาตัดใบขายมานานถึง 40 ปีแล้ว ยังไม่จำเป็นต้องปรับพื้นที่ปลูกใหม่เลย เพราะกล้วยแตกหน่อใหม่ขึ้นมาทดแทนเองตลอดส่วนวิธีการตัดใบตองของชาวบ้านที่นี่ ไม่ยุ่งยาก ใช้มีดปลายแหลมเสียบกับลำไผ่ขนาดยาวให้แน่น และเลือกตัดเฉพาะ 3 ใบล่าง หากเป็นช่วงหน้าฝน กล้วยได้น้ำดีเว้นระยะเวลาไป 15 วัน ก็สามารถกลับมาตัดซ้ำต้นเดิมได้อีก แต่หากเป็นช่วงหน้าแล้งต้องเป็นเดือน จึงจะตัดใบซ้ำต้นเดิมได้ ผู้ใหญ่สุชาติ บอกต่อว่า เขาเองตัดใบกล้วยขายทุกวัน วันละประมาณ 200 กิโลกรัม โดยตัดในเวลา 8 โมงเช้า เป็นต้นไปเพื่อให้น้ำค้างแห้งเสียก่อน ใบที่ตัดแล้วนั้นจะต้องนำมากรีดเอาทางใบออกเหลือแต่ใบตอง พับเตรียมจำหน่ายให้แม่ค้าเป็นมัด มัดละ 18 กิโลกรัม หรือราวๆ 60 ทางใบกล้วย แล้วแม่ค้าจะเข้ามารับซื้อสัปดาห์ละ 2 ครั้งนอกจากนี้ ใบตองแห้งที่เหี่ยวคาต้นหรือร่วงหล่นลงพื้นนั้นก็ยังเก็บไปขายเพื่อนำไปเป็นจุกข้าวหลามได้อีก กิโลกรัมละ 5 บาท หรือจะขุดหน่อขายก็ได้หน่อละ 7 บาท สามารถสร้างรายได้เสริมให้กับผู้ใหญ่สุชาติประมาณเดือนละ 6,000-7,000 บาท โดยไม่มีต้นทุนค่าแรงงาน หรือปุ๋ยแต่อย่างใด เพราะปลูกเอง ตัดเอง มัดเอง และแบกขายด้วยตนเองสอบถามด้านการตลาดของใบตองกล้วยโอชารสกับ คุณอุบล แสงงาม แม่ค้าชาวบางสะพาน ผู้รับซื้อใบตองรายใหญ่ของชาวบ้านมานานกว่า 6 ปี เธอบอกว่า ใบตองนี้เป็นที่ต้องการของตลาดทับสะแก อ่าวมะนาว แต่รวมแล้วตลาดหลักก็มีเพียงในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์นี้เท่านั้น เพราะเป็นที่รู้จักของชาวบ้าน นิยมนำไปใช้รองเข่งขนมจีน ใช้ทำห่อหมก ห่อขนม ห่ออาหารนึ่ง ย่าง เพราะให้กลิ่นหอมเพิ่มรสชาติ โดยมีปริมาณการรับซื้อเฉลี่ยเดือนละประมาณ 1.2 ตัน ต่อเดือน แต่หากเป็นช่วงเทศกาลลอยกระทง ตรุษจีน หรือในช่วงหน้าแล้ง ใบตองจะเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ยอดส่งจำหน่ายสูงขึ้นเป็น 1.8 ตัน ต่อเดือน การส่งจำหน่ายใบตองกล้วยโอชารสของแม่ค้ารายนี้แบ่งเป็นสองประเภท คือ ขายส่งแบบคละเกรด มัดละ 9 บาท ราคาเดียว แม้ช่วงไหนของจะขาด โดยเฉพาะช่วงหน้าแล้งที่ใบตองหายากแต่ขายดีก็ยังส่งราคานี้ ส่วนอีกประเภทคือ ใบตองคัดเกรด เลือกเฉพาะใบใหญ่ นิยมใช้ทำบายศรีและผ่านการฉีกตัดแล้ว จำหน่ายกิโลกรัมละ 15 บาท ราคาเดียวทั้งปีเช่นกัน แต่สำหรับตลาดต่างถิ่น แม่ค้าอุบล บอกว่า ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร เพราะคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่า ใบใหญ่ หนา สีเขียวเข้มขนาดนี้ ดูแข็งเกินไป จะทำให้อาหารที่ถูกห่อมีรสขม หรือกลายเป็นสีดำ แต่เธอก็ปฏิเสธว่าเป็นเช่นนั้น เพราะคนประจวบฯ เองจะรู้ว่าไม่มีผล มีแต่จะส่งกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์มากกว่า ทุกวันนี้ในฐานะที่เธอเป็นคนท้องถิ่นและประกอบอาชีพแม่ค้าขายใบตองกล้วยโอชารสร่วมกับการทำสวน ก็ยังหวังให้ใบตองท้องถิ่นเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น โดยพยายามหาตลาดต่างถิ่นมากขึ้น รวมถึงส่งมาให้ลูกค้าลองใช้แบบฟรีๆ ก่อนถึงกรุงเทพฯ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับชุมชนชาวบางสะพานสนใจรายละเอียดติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ผู้ใหญ่สุชาติ โทร. (08) 4316-5245ั้หรือ คุณอุบล โทร. (083) 313-8130เกษตรกรบางสะพาน มีบำนาญในปลายชีวิตคุณยุวพล วัตถุ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. สาขาบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากการตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ทาง ธ.ก.ส. สาขาบางสะพาน จึงมีการรณรงค์ให้ชาวบ้านสานต่อโครงการส่งเสริมการปลูกต้นไม้ 1 ล้านครัวเรือน 9 ล้านต้น ที่ ธ.ก.ส. ดำเนินการมา ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 โดยสนับสนุนให้มีการก่อตั้งธนาคารต้นไม้ ให้ชาวบ้านช่วยกันเพาะพันธุ์กล้าไม้หลากชนิด เช่น ตะเคียนทอง ยางนา มะฮอกกานี มะยมหอม มะค่า พะยูง และพันธุ์ไม้ท้องถิ่น รวมถึงขอการสนับสุนนพันธุ์กล้าไม้จากศูนย์เพาะชำกล้าไม้ในเขตจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรไปปลูกในพื้นที่ของตนเอง ซึ่งมีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมากทั้งนี้ ต้นไม้ที่เกษตรกรนำไปปลูกนั้น ก็คือ การเก็บออมในรูปแบบหนึ่ง หรือถือเป็นบำนาญไว้ใช้ในอีก 20 ปีข้างหน้าก็ได้ เนื่องจากไม้ดังกล่าวจะเติบใหญ่จนสามารถตัดจำหน่ายได้ในยามที่เกษตรกรถึงวัยปลดเกษียณ ซึ่งคาดว่า ต้นไม้ที่ส่งเสริมให้ปลูกนั้นเมื่อมีอายุครบ 20 ปี จะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 20,000 บาท "นับเป็นอีกวิธีที่จะสร้างความสุขให้เกษตรกรพึ่งพาตนเองได้ในบั้นปลายชีวิต ส่วนกรณีที่เกษตรกรใดมีอายุมากแล้ว ก็สามารถปลูกต้นไม้โตเร็ว เช่น กระถินเทพา สะเดาช้าง เพราะสามารถตัดขายในระยะเวลา 5 -10 ปี เกษตรกรอยากมีเงินบำนาญเท่าไหร่ก็วางแผนได้ตามอายุของตนเอง แต่ต้องเริ่มปลูกตั้งแต่วันนี้ คุณยุวพล กล่าวrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-4173946491748358502009-10-16T01:43:00.000+07:002009-10-16T01:47:12.660+07:00เห็ดแครงเห็ดแครง เป็นเห็ดที่ขึ้นอยู่ทั่วโลกและงอกได้ตลอดปี พบขึ้นอยู่กับวัสดุหลายชนิด เช่น ท่อนไม้ กิ่งไม้ ใบไม้ ใบหญ้า กระดาษ หรือแม้แต่บนกระดูกปลาวาฬก็พบเห็ดชนิดนี้ขึ้นอยู่ แต่ที่พบเป็นปริมาณมากสามารถเก็บรวบรวมเห็ดมารับประทานได้คือ บนท่อนไม้และกิ่งไม้ ในภาคใต้ของไทยพบมากบนท่อนไม้ยางพารา ต้นยางพาราที่ตัดโค่นไว้เมื่อท่อนไม้ตายและมีฝนตกก็พบเห็ดแครงขึ้นเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีการใช้ยาฆ่าตอต้นยางเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านบอกว่าเห็ดแครงที่เก็บรวบรวมมาจากตอยางเมื่อรับประทานแล้วมีอาการคันปาก และสงสัยว่าเกิดจากพิษของยาฆ่าตอยาง ตอนนี้ยังไม่มีการศึกษายืนยันแต่ควรหลีกเลี่ยงเก็บเห็ดจากตอยางที่ใช้ยาฆ่าตอ<br /><br />Schizophyllum commune Fr.<br />-<br />เห็ดแครง<br />-<br />เห็ดตีนตุ๊กแก เห็ดจิก เห็ดยาง (ภาคใต้) เห็ดแก้น เห็ดตามอม (ภาคเหนือ) เห็ดมะม่วง (ภาคกลาง)<br /><br />เห็ดแครงเป็นเห็ดขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายพัด (fan-shaped) ด้านฐานมีก้านขนาดสั้นๆ ยาวประมาณ 0.1- 0.5 เซนติเมตร หรือไม่มีก้านติดอยู่กับวัสดุที่ขึ้นด้านข้าง ดอกเห็ดมีขนาดความกว้าง ประมาณ 1-3 เซนติเมตร ผิวด้านบนมีสีขาวปนเทาปกคลุมทั่วไป ลักษณะดอกเหนียวและแข็งแรง เมื่อแห้งด้านใต้ของดอกเห็ดมีครีบมีลักษณะแตกเป็นร่อง (spilt-gill) พิมพ์สปอร์มีสีขาว สปอร์มีสีใสรูปร่างเป็นทรงกระบอกขนาด 3-4x1-1.5 ไมครอน เนื่องจากเห็ดแครงมีขึ้นอยู่ทั่วโลก ในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ลักษณะดอกเห็ดอาจแตกต่างกันในแต่ละท้องที่<br /><br />เห็ดแครงเป็นเห็ดที่เพาะปลูกได้ง่ายมากชนิดหนึ่ง สามารถใช้วัสดุในการเพาะหลายชนิด ขั้นตอนในการเพาะเลี้ยงเห็ดแครงจะเหมือนกับเห็ดชนิดอื่นๆ ยกเว้นสูตรอาหารและเทคนิคการเพาะ การดูแล ซึ่งต่างไปบ้าง เนื่องจากมีธาตุอาหารสูงจึงต้องปฏิบัติให้ถูก หากไม่มีจะทำให้เห็ดเกิดการปนเปื้อนเชื้อราอื่นได้สูง เป็นสาเหตุให้ผลผลิตเสียหาย สำหรับแม่เชื้อเห็ดแครงที่บริสุทธิ์แนะนำให้สั่งซื้อจากศูนย์รวบรวมเชื้อพันธุ์เห็ดแห่งประเทศไทย กรมวิชาการเกษตร เพราะได้ทำการคัดเลือกสายพันธุ์มาแล้วว่าให้ลักษณะดอกดี มีขนาดใหญ่ และให้ผลผลิตสูง เมื่อได้ แม่เชื้อมาแล้วก็นำมาทำเชื้อขยายในเมล็ดข้าวฟ่าง ซึ่งมีวิธีการเตรียมวัสดุเพาะเหมือนเห็ดชนิดอื่นๆ<br /><br />: การเพาะเห็ดแครงมีขั้นตอนต่างๆ เหมือนการเพาะเห็ดถุงทั่วไป<br /><br />การทำหัวเชื้อเห็ด เห็ดแครงสามารถทำหัวเชื้อได้บนเมล็ดข้าวฟ่างเหมือนกับทำหัวเชื้ออื่นๆ โดยแช่เมล็ดข้าวฟ่างในน้ำทิ้งไว้ 1 คืน นำไปต้มไฟปานกลางเมื่อเมล็ดข้าวฟ่างเริ่มนุ่ม นำขึ้นสรงให้สะเด็ดน้ำบนตะแกรง เมื่อเย็นกรอกใส่ขวดแบน จากนั้นปิดจุกสำลี นำไปนึ่งความดัน โดยใช้ความร้อน 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนด์ ใช้เวลา 30 นาที จากนั้นทิ้งไว้ให้เย็น แล้วตัดเส้นใยจากแม่เชื้อในอาหารวุ้น ถ่ายลงไปด้วยเข็มเขี่ยในสภาพปลอดเชื้อ บ่มเส้นในที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 7-10 วัน ก็นำไปถ่ายลงวัสดุเพาะได้<br />การเตรียมวัสดุเพาะ นำเมล็ดข้าวฟ่างแช่ในน้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นเทน้ำทิ้งเปลี่ยนน้ำใหม่ต้มให้เดือด จนเมล็ดข้าวฟ่างค่อนข้างสุก แล้วรินน้ำทิ้ง พักไว้ให้เย็นหมาดๆระหว่างนี้ให้ผสมขี้เลื่อย ปูนขาวและรำเข้าด้วยกันก่อน จากนั้นจึงผสมน้ำลงไป (หากผสมพร้อมกันหมด รำจะจับติดเป็นก้อน) เมื่อผสมเข้ากันดีแล้ว จึงนำเมล็ดข้าวฟ่างที่เตรียมไว้มาผสมอีกที จากนั้นกรอกใส่ถุงพลาสติก ขนาด 6x10 นิ้ว ให้มีน้ำหนัก 600 กรัม ใส่คอขวด รัดยาง และปิดสำลีแล้วปิดด้วยฝาปิด จากนั้นนำไปนึ่งด้วยหม้อนึ่งความดัน 15 ปอนด์ เป็นเวลา 30 นาที หรือ นึ่งด้วยหม้อนึ่งลูกทุ่ง อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ได้เวลาแล้วพักไว้ให้เย็น จึงรีบใส่เชื้อในเมล็ดข้าวฟ่างที่เตรียมไว้ทันที พยายามอย่าทิ้งถุงไว้เกิน 24 ชั่วโมง จะทำให้การปนเปื้อนสูง<br />การพักบ่มเส้นใย โรงเรือนสำหรับพักบ่มเส้นใย ควรเป็นโรงเรือนในร่ม ที่มีการระบายอากาศดี และข้อสำคัญควรเป็นที่มืด (ขนาดที่อ่านหนังสือพิมพ์ไม่เห็นในระยะ 1 ฟุต ตรงนี้เป็นเทคนิคที่ค่อนข้างจะปฏิบัติได้ยากแต่จะต้องพยายามทำให้มืดที่สุด) เส้นใยจะเจริญเต็มถุงในเวลา 15 – 20 วัน ที่อุณหภูมิระหว่าง 25 – 35 องศาเซลเซียส ซึ่งหลังจากเส้นใยเต็มถุง จึงให้แสงในโรงบ่ม แสงจะกระตุ้นให้เห็ดสร้างตุ่มดอก จะสังเกตเส้นใยเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล จึงนำไปเปิดดอก โดยดึงจุกสำลีและคอขวดด้านบนออก ใช้ยางรัดปิดปากถุงให้แน่น แล้วกรีดด้านข้างให้เป็นมุมเฉียงจากบนลงล่างทั้ง 4 มุมของถุง แล้วนำไปวางบนชั้นหรือแขวนในโรงเรือน<br />โรงเรือนเปิดดอก โรงเรือนเปิดดอกจะใกล้เคียงกับโรงเรือนเปิดดอกของเห็ดหูหนู การรดน้ำควรจะติดระบบสปริงเกอร์ ให้น้ำเช้าและเย็น หากรดน้ำด้วยมือจะต้องใช้หัวฉีดพ่นฝอย มิฉะนั้นก้อนเห็ดจะดูดน้ำเข้าไปทำให้ก้อนเชื้อเสียและปนเปื้อนจุลินทรีย์อื่น การวางก้อนเชื้อจะต้องวางตั้งบนชั้นหรือแขวนแบบเห็ดหูหนู หลังจาก กรีดข้างถุงและรดน้ำเห็ดไปประมาณ 5 วัน จะเก็บผลผลิตรุ่นที่ 1 ได้ หลังจากนั้นเห็ดจะพักตัวอีก 5-7 วัน รดน้ำเป็นปกติ ก็จะเก็บรุ่นที่ 2 และ3 ตามลำดับ ซึ่งผลผลิตก็จะหมดให้ขนก้อนเก่าไปทิ้ง และพักโรงเรือน ให้แห้งเป็นเวลา 15 วัน จึงนำถุงเห็ดรุ่นใหม่ เข้าเปิดดอกต่อไป<br /><br />โรคในเห็ดแครงจะพบการปนเปื้อนจาก ราเขียว และราส้ม เนื่องจากวัสดุเพาะมีธาตุอาหารสูงจึงเกิดการปนเปื้อนได้ง่าย<br /><br />เนื่องจากเห็ดแครงเป็นเห็ดที่มีแร่ธาตุอาหารต่างๆ เป็นอาหารบำรุงร่างกายทำให้สุขภาพดี อีกทั้งมีสาร Schizophyllan ที่มีสรรพคุณในด้านการรักษาโรคต่างๆมากมาย เห็ดแครงสามารถปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น นำมาเจียวกับไข่ แกงกะทิ ห่อหมก งบเห็ดแครง ในประเทศจีนมีการแนะนำให้คนไข้ที่เป็นโรคระดูขาว รับประทานเห็ดแครงที่ปรุงกับไข่เพื่อรักษาโรค และรับประทานร่วมกับใบชาโดยต้มเห็ดแครง 9 – 16 กรัม กับน้ำกินวันละประมาณ 3 ครั้ง ใช้เป็นอาหารบำรุงร่างกาย ในประเทศญี่ปุ่นใช้เป็นยาเนื่องจาก พบสารประกอบพวก polysaccharide ชื่อว่า Schizophyllan (1,3 B-glucan) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อไวรัสและยับยั้งเซลมะเร็งชนิด Sarcoma 180 และ Sarcoma 37 โดยทดลองใน หนูขาวยับยั้งได้ร้อยละ 70 – 100<br /><br />คุณค่าทางโภชนาการ :<br /><br />เห็ดแครง 100 กรัม ให้ โปรตีน 17.0 กรัม ไขมัน 0.5 กรัม แคลเซียม 90 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 280 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 640 มิลลิกรัมrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-56743823873512524142009-09-19T00:48:00.000+07:002009-09-19T00:50:57.344+07:00อาฎานาฏิยปริตรอาฏานาฏิยปริตร<br /> วิปัสสิสสะ นะมัตถุ / ความนอบน้อมแห่งข้าพเจ้าจงมีแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า / จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต / ผู้มีจักษุ ผู้มีสิริ / สิขิสสะปิ นะมัตถุ ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระสิขีพุทธเจ้า / สัพพะภูตานุกัมปิโน / ผู้ปกติอนุเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง / เวสสะภุสสะ นะมัตถุ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระเวสสภูพุทธเจ้า / นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน /ผู้มีกิเลสอันล้างแล้ว ผู้มีตปะ/ นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระกกุสันธพุทธเจ้า / มาระเสนัปปะมัททิโน / ผู้ย่ำยีเสียซึ่งมารและเสนา / โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระโกนาคมพุทธเจ้า / พราหมะณัสสะ วุสีมะโต / ผู้มีบาปอันลอยแล้ว ผู้มีพรหมจรรย์อันอยู่จบแล้ว/ กัสสะปัสสะ นะมัตถุ /ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระกัสสปพุทธเจ้า / วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ / ผู้พ้นแล้วจากกิเลสทั้งปวง / อังคีระสัสสะ นะมัตถุ / ความน้อมน้อมแห่งข้าพเจ้า จงมีแด่พระอังคีรสพุทธเจ้า / สักยะปุตตัสสะ สิรีมะโต /ผู้เป็นโอรสแห่งศากยราชผู้มีสิริ/ โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ / พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงแสดงซึ่งธรรมนี้ / สัพพะทุกขาปะนูทะนัง / เป็นเครื่องบรรเทาเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง / เย จาปิ นิพพุตาโลเก/ อนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใดก็ดีที่ดับกิเลสแล้วในโลก / ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง /พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น เป็นคนไม่มีความส่อเสียด / มะหันตา วีตะสาระทา / ผู้เป็นใหญ่ผู้มีความครั่นคร้ามไปปราศแล้ว / หิตัง เทวะมะนุสสานัง, ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง / เทพดาและมนุษย์ทั้งหลายนอบน้อมอยู้ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ผู้เป็นโคตมโคตร ผู้เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่เทพดา และมนุษย์ทั้งหลาย / วิชชาจะระณะสัมปันนัง/ ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ/ มหันตัง วีตะสาระทัง / ผู้ใหญ่ผู้มีความครั่นคร้ามไปปราศแล้ว / วิชชาจะระณะสัมปันนัง พุทธัง วันทามะ โคตะมันติ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอนมัสการพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้โคตมโคตรผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ / เอตอ จัญเญ จะ สัมพุทธา / พระพุทธเจ้าเหล่านี้ก็ดี เหล่าอื่นก็ดี / อะเนกะสะตะโกฏะโย / หลายร้อยโกฏิ/ สัพเพ พุทธา อะสะมะสะมา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมดเสมอกันไม่มีใครเหมือน / สัพเพ พุทธา มะหิธิกา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนประกอบแล้วด้วยทศพลญาณ/ เวสารัชเชหุปาคะตา / ประกอบไปด้วยเวสารัชชญาณ / สัพเพ เต ปะฏิชานันติ / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนตรัสรู้อยู่ / อาสะภัณฐานะมุตตะมัง / ซึ่งอาสภฐานอันอุดม/ สีหะนาทัง นะทันเต เต, ปะริสาสุ วิสาระทา/ พระพุทธเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้องอาจไม่ครั่นคร้ามบันลือสีหนาทในบริษัททั้งหลาย / พรัหมะจักกัง ปะวัตเตนติ / ยังพรหมจักรให้เป็นไป/ โลเก อัปปะฏิวัตติยัง / อันใครๆยังไม่ไดให้เป็นไปแล้วในโลก / อุเปตา พุทธะธัมเมหิ /พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นประกอบแล้วด้วยพุทธธรรมทั้งหลาย/ อัฏฐาระสะหิ นายะกา / 18 เป็นนายก/ ทวัตติงสะลักขะณูเปตา สีตยานุพยัญชะนาธะรา / ผู้ประกอบด้วยพระลักษณะ 32 ประการ และทรงซึ่งอนุพยัญชนะ 80 / พยามัปปะภายะ สุปปะภา / มีรัศมีอันงามด้วยพระรัศมี มีมณฑลข้างละวา/ สัพเพ เต มุนิกุญชะรา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้น้วนเป็นมุนีอันประเสริฐ / พุทธา สัพพัญญุโน เอเต /พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นพระสัพพัญญู/ สัพเพ ขีณาสะวา ชินา / ล้วนเป็นพระขีณาสพ ผู้ชนะ / มะหัปปะภา มะหาเตชา/ มีพระรัศมีอันมาก มีพระเดชอันมาก / มะหาปัญญา มหัปผะลา / มีพระปัญญามาก มีพระกำลังมาก / มะหารุณิกา ธีรา / มีพระกรุณามาก เป็นนักปราชญ์/ สัพเพสานัง สุขาวะหา/ นำสุขมาเพื่อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง/ ทีปา นาถา ปะติฏฐา จะ / เป็นเกาะ เป็นที่พึ่งและเป็นที่อาศัย/ ตาณา เลณา จะ ปาณินัง/ เป็นที่ต้านทานเป็นที่เร้นของสัตว์ / คะตี พันธู มะหัสสาสา / มีคติ เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นที่ยินดีมาก / สะระณา จะ หิเตสิโน / เป็นที่ระลึกและแสวงหาประโยชน์/ สะเทวะกัสสะ โลกัสสะ/ เพื่อสัตว์โลกกับเทวโลก/ สัพเพ เอเต ปะรายะนา / พระพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนเป็นเบื้องหน้าของสัตว์ / เตสาหัง สิระสา ปาเท, วันทามิ ปุริสุตตะเม, วะจะสา มะนะสา เจวะ, วันทาเมเต ตะถาคะเต /ข้าพเจ้าขอวันทาพระบาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเศียรเกล้าและขอวันทาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นผู้เป็นบุรุษอันอุดมผู้เป็นตถาคต ด้วยวาจาและใจทีเดียว/ สะยะเน อาสะเน ฐาเน / ในที่นอนด้วย ในที่นั่งด้วย ในที่ยืนด้วย/ คะมะเน จาปิ สัพพะทา / แม้ในที่เดินด้วยในกาลทุกเมื่อ/ สะทา สุเขนะ รักขันตุ, พุทธา สันติกะรา ตุวัง /พระพุทธเจ้า ผู้กระทำความระงับ จงรักษาท่านด้วยความสุขในกาลทุกเมื่อ / เตหิ ตวัง รักขิโต สันโต/ ท่านผู้อันพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงรักษาแล้ว จงเป็นผู้ระงับ / มุตโต สัพพะภะเยนะ จะ, สัพพะโรโค วินิมุตโต/ พ้นแล้วจากภัยทั้งปวง / สัพพะสันตาปะวัชชิโต / เว้นแล้วจากความเดือดร้อนทั้งปวง / สัพพะเวระมะติกกันโต / ล่วงเสียซึ่งเวรทั้งปวง / นิพพุโต จะ ตุวัง ภะวะ/ ท่านจงเป็นผู้ดับทุกข์ทั้งปวงด้วย / สัพพีตีโย วิวัชชันตุ / ความจัญไรทั้งปวงจงเว้นไป / สัพพะโรโค วินัสสะตุ / โรคทั้งปวงจงฉิบหายไป/ มา เต ภะวัตวันตะราโย / อันตรายอย่าได้มีแก่ท่าน / สุขี ทีฆายุโก ภะวะ / ขอท่านจงเป็นผู้มีสุขมีอายุยืน / อะภิวาทะนะสีลิสสะ, นิจจัง วัฑฒาปะจายิโน, จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง / ธรรมทั้งปลาย 4 คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคล ผู้มีความไหว้ต่อบุคคลผู้ควรไหว้เป็นปกติ ผู้อ่นน้อมต่อบุคคลผู้เจริญเป็นนิตย์ ฯrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-21675385132919429312009-09-19T00:29:00.002+07:002009-09-19T00:37:00.688+07:00ลูกพุ้งพิ้ง<span style="COLOR: #000080"></span><br /><span style="COLOR: #000080"></span><br /><span style="COLOR: #000080">พุ้งพิ้ง พุ้งพ้าย คงเคยเห็นและรู้จักสำหรับเด็กใต้</span><br /><span style="COLOR: #000080"><img style="WIDTH: 400px; HEIGHT: 222px" border="0" src="http://gotoknow.org/file/mitree_suk/DSC01728.jpg" width="400" height="477" /></span><img style="WIDTH: 229px; HEIGHT: 210px" border="0" src="http://gotoknow.org/file/mitree_suk/DSC01729.jpg" width="229" height="300" /> <img border="0" src="http://gotoknow.org/file/mitree_suk/DSC01721.jpg" /><span style="COLOR: #000080"><img border="0" src="http://gotoknow.org/file/mitree_suk/DSC01728.jpg" /></span><span style="COLOR: #000080"><img border="0" src="http://gotoknow.org/file/mitree_suk/DSC01728.jpg" /></span><img border="0" src="http://gotoknow.org/file/mitree_suk/DSC01721.jpg" width="400" height="179" />rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-46167271647459751202009-09-12T02:36:00.001+07:002009-09-12T02:44:42.194+07:00ธรรมจักรกัปวัตนสูตร<div align="left"><span style="font-size:130%;"><span style="font-family:courier new;color:#3366ff;"><strong>บทขัดธรรมจักรแปล อนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิตวา ตะถาคะโตพระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้ซึ่งพระอนุตตระ สัมมาสัมโพธิญาณแล้วปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรังสัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยังเหมือนจะทรงประกาศธรรมที่ใครๆยังมิได้ให้เป็นไปในโลก ให้เป็นไปโดยชอบแล้ว ได้ทรงแสดงซึ่งพระอนุตตะระธรรมจักรในกรยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฎิปัตติ จะ มัชฌิมาจะตูสวาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนังคือวัตรพระองค์ตรัสรู้ ซึ่งพิสูจน์ 2 ประการ ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง แลปัญญาอันรู้เห็นในอริยสัจทั้ง4ของพระองค์หมดจดแล้วในธรรมจักรใด เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนังนาเมนะ วิสสุตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนังเวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เสฯ เราทั้งหลาย จงสวดธรรมจักรนั้น ที่พระองค์ชื่อธรรมราชาได้ทรงแสดงแล้ว ปรากฏในชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นสูตรประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันพระทั้งอสีติได้ร้อยกรองไว้โดยบาลีไวยากรณ์เทอญ </strong></span></span></div><div align="left"><span style="font-family:courier new;color:#3366ff;"><strong>ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเอวัมฺเม สุตังอันข้าพเจ้า(คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้เอกัง สมยัง ภควาสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีตัตฺระ โข ภะคะวา ปัญฺจะวัคฺคิเย ภิกฺขู อามันฺเตสิในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือน พระภิกษุปัญจวัคคียว่าเทฺวเม ภิกฺขะเว อันฺตาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (การกระทำ)ที่สุดสองอย่างนี้ปัพฺพะชิเต นะ นะ เสวิตัพฺพาอันบรรพชิตไม่ควรเสพ (ไม่ควรข้องแวะเลย)โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลฺลิกานุโยโคคือการประกอบตนให้พัวพันด้วย (ความใคร่ใน)กาม ในกาม(สุข) ทั้งหลายนี้ใดหิโน (HEE โน) พิมพ์ไม่ได้เครื่องแจ้งไม่สุภาพ เป็นธรรมอันเลว เป็นของต่ำทราม คัมฺโมเป็นของชาวบ้าน เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือนโปถุชฺชะนิโกเป็นของชั้นปุถุชน เป็นของคนมีกิเลสหนาอะนะริโยไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลสอะนัตฺถะสัญฺหิโตไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่งโย จายัง อัตฺตะกิละมะถานุโยโคคือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยด้วยตน การทรมานตนให้ลำบาก เหล่านี้ใดทุกฺโขเป็นสิ่งนำมาซึ่งทุกข์ ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบอะนะริโยไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลสอะนัตฺถะสัญฺหิโตไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่งเอเต เต ภิกฺขะเว อุโภ อันฺเต อะนุปะคัมฺมะ มัชฺฌิมา ปะฏิปะทาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางไม่เข้าไปใกล้(การกระทำ)ที่สุด สองอย่างนั่นนั้นตะถาคะเตนะ อภิสัมฺพุทฺธาที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งจักฺขุกะระณีทำดวงตาให้เกิดญาณะกะระณีทำญาณเครื่องรู้อุปะสะมายะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับอะภิญฺญายะเพื่อความรู้ยิ่งสัมโพธายะเพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ดีนิพฺพานายะ สังวัตตะติเพื่อความดับ เพื่อนิพพานกะตะมา จะ สา ภิกฺขะเว มัชฺฌิมา ปะฏิปะทาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นทางสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้(การกระทำ)ที่สุด สองอย่างนั่น นั้นเป็นไฉนตะถาคะเตนะ อะภิสัมฺพุทฺธาที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งจักฺขุกะระณีทำดวงตาให้เกิดญาณะกะระณีทำญาณเครื่องรู้อุปะสะมายะย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับอะภิญญายะเพื่อความรู้ยิ่งสัมฺโพธายะ เพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ดี นิพฺพานายะ สังวัตฺตะติเพื่อความดับ เพื่อนิพพานอะยะเมวะ อะริโย อัฏฺฐังคิโก มัคฺโคทางมีองค์แปด เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลสนี้เองเสยฺยะถีทังกล่าวคือ(๑) สัมฺมาทิฏฺ ฐิปัญญาอันเห็นชอบ(๒) สัมฺมาสังฺกัปฺโปความดำริชอบ(๓) สัมฺมาวาจาการพูดจาชอบ(๔) สัมฺมากัมฺมันฺโตการทำการงานชอบ(๕) สัมฺมาอาชีโวความเลี้ยงชีวิตชอบ(๖) สัมมาวายาโมความพากเพียรชอบ(๗) สัมฺมาสะติความระลึกชอบ(๘) สัมฺมาสะมาธิความตั้งจิตมั่นชอบอะยัง โข สา ภิกฺขะเว มัชฺฌิมา ปะฏิปะทาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แล ข้อปฏิบัติชึ่งเป็นกลางนั้นตะถาคะเตนะ อะภิสัมฺพุทฺธาที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งจักฺขุกะระณี ทำดวงตาให้เกิด ญาณะกะระณีทำญาณเครื่องรู้อุปะสะมายะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับ อะภิญฺ ญายะเพื่อความรู้ยิ่ง สัมฺโพธายะ เพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ดี นิพฺพานายะ สังวัตฺตติเพื่อความดับ เพื่อนิพพานอิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขัง อริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นทุกข์อย่างแท้จริง คือชาติปิ ทุกฺขาความเกิดก็เป็นทุกข์ชะราปิ ทุกฺขาความแก่ก็เป็นทุกข์มะระณัมฺปิ ทุกฺขังความตายก็เป็นทุกข์โสกะ ปะริเทวะ ทุกฺขะ โทมะนัสฺ สุปายาสาปิ ทุกฺขาความโศก ความรำไรรำพัน ความทุกข์(ความไม่สบายกาย) โทมนัส(ความไม่สบายใจ) และความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์อัปฺปิเยหิ สัมฺปะโยโค ทุกฺโขความประสบด้วยสิ่งที่ ไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์ปิเยหิ วิปฺปะโยโค ทุกฺโขความพลัดพราก จากสิ่งที่รัก ที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์ยัมฺปิจฺฉัง นะ ละภะติ ตัมฺปิ ทุกฺขังปรารถนาอยู่ย่อมไม่ได้ แม้อันใด แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์สังฺขิตฺเตนะ ปัญฺจุปาทานักฺขันฺธา ทุกฺขาโดยย่อแล้ว อุปาทานขันข์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์ </strong></span></div><div align="left"><span style="font-family:courier new;color:#3366ff;"><strong>อิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขะสะมุทะโย อะริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นเหตุให้ทุกข์ เกิดขึ้นอย่างแท้จริง คือยายัง ตัณหาความทะยานอยาก(ของจิต)นี้อันใดโปโนพฺภะวิกาทำให้มีภพอีก อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีกนันฺทิราคะ สะหะคะตาเป็นไปกับด้วย(อันประกอบอยู่ด้วย)ความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลินตัตฺระ ตัตฺราภินันฺทินีมีปกติเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ (ตัณหามักเพลิดเพลินในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ชื่อว่าในที่นั้นๆ)เสยฺยะถีทังฯได้แก่สิ่งเหล่านี้คือกามะตัณฺหาคือ ความทยานอยากในกาม ความทะยานอยากในอารมณ์ที่รัก ใคร่ภะวะตัณฺหาคือ ความทะยานอยากในความมี ความเป็นวิภะวะตัณฺหาฯคือ ความทะยานอยากในความไม่มี ไม่เป็นอิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือโย ตัสฺสาเยวะ ตัณฺหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธความดับสนิทเพราะจางไป โดยสิ้นความกำหนัด โดยไม่เหลือ แห่งตัณหานั้นนั่นเทียวอันใดจาโคความสละเสียตัณหานั้นปะฏินิสฺสัคฺโคความวาง ความสละคืน ความสละได้ขาด ตัณหานั้นมุตฺติความปล่อย ความพ้น ความหลุดพ้น ตัณหานั้น อะนาละโยความไม่พัวพัน ไม่กังวล ไม่อาลัยในตัณหานั้น(เป็นความทำไม่ให้มีที่อาศัยซึ่งตัณหานั้น)อิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คืออะยะเมวะ อะริโย อัฏฺฐังฺคิโก มัคฺโคทางมีองค์แปด เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลส นี้เองเสยฺยะถีทังได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ(๑) สัมฺมาทิฏฺ ฐิปัญญาอันเห็นชอบ(๒) สัมฺมาสังฺกัปฺโปความดำริชอบ(๓) สัมฺมาวาจาการพูดจาชอบ(๔) สัมฺมากัมฺมันฺโตการทำการงานชอบ(๕) สัมฺมาอาชีโวความเลี้ยงชีวิตชอบ(๖) สัมฺมาวายาโมความพากเพียรชอบ(๗) สัมฺมาสะติความระลึกชอบ(๘) สัมฺมาสะมาธิฯความตั้งจิตมั่นชอบอิทัง ทุกฺขัง อะริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่านี้เป็น ทุกข์อริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขัง อะริยะสัจฺจัง ปะริญฺ เญยฺยันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขัง อะริยะสัจฺจัง ปะริญฺญาตันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้กำหนดรู้แล้วอิทัง ทุกฺขะสะมุทะโย อะริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญฺญา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้ว ในกาลก่อนว่านี้ ทุกขสมุทัยอริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะสะมุทะโย อะริยะสัจฺจัง ปะหาตัพฺพันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสียตังโข ปะนิทัง ทุกฺขะสะมุทะโย อริยะสัจฺจัง ปะหิ(hee)นันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้ นั้นแล อันเราได้ละแล้วอิทัง ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้ว ในกาลก่อนว่านี้เป็น ทุกขนิโรธ อริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจัง สัจฺฉิกาตัพฺพันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ นั้นแล ควรทำใหัแจ้งตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจัง สัจฺฉิกะตันติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญฺญา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ นั้นแล อันเราได้ทำใหัแจ้งแล้วอิทัง ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้ว ในกาลก่อนว่านี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจฺจัง ภาเวตัพฺพันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้ นั้นแล ควรให้เจริญตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจฺจัง ภาวิตันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิ ปทาอริยสัจนี้ นั้นแล อันเราเจริญแล้วยาวะกีวัญฺจะ เม ภิกฺขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจฺเจสุ เอวันฺติปริวัฏฺฏัง ทฺวาทะสาการังยะถาภูตัง ญาณะทัสฺสนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจสี่เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้วเนวะ ตาวาหัง ภิกฺขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสฺสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสฺสายะ อนุตฺตะรัง สัมฺมาสัมฺโพธิง อะภิสัมฺพุทโธ ปัจฺจัญฺ ญาสิงฯดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยเทพดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพดา มนุษย์ ไม่ได้เพียงนั้นยะโต จะ โข เม ภิกฺขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจฺเจสุ เอวันฺติปริวัฏฺฏัง ทฺวาทะสาการัง ยถาภูตัง ญาณะทัสฺสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจสี่ เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้ หมดจดดีแล้วอะถาหัง ภิกฺขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสฺสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตะรัง สัมฺมาสมฺโพธิง อะภิสัมฺพุทฺโธ ปัจฺจัญฺญาสิงฯเมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วย เทพดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพดา มนุษย์ . </strong></span></div><div align="left"><span style="font-family:courier new;color:#3366ff;"><strong>ญาณัญฺจะ ปะนะ เม ทัสฺสะนัง อุทะปาทิก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราอะกุปฺปา เม วิมุตติ อะยะมันฺติมา ชาติ นัตฺถิทานิ ปุนัพฺภะโวติว่าความพ้นพิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีภพอีกอิทะมะโวจะ ภะคะวาพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้วอัตฺตะมะนา ปัญฺจะวัคฺคิยา ภิกฺขูภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีใจยินดีภะคะวะโค ภาสิตัง อภินันฺทุงเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าอิมัสฺมิญฺจะ ปะนะ เวยฺยากะระณัสฺมิง ภัญฺญะ มาเนก็แลเมื่อเวยยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่อายัสฺมะโต โกณฺฑัญฺญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมฺมะจักฺขุง อุทะปาทิจักษุในธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะยังฺกิญฺจิ สะมุทะยะธัมฺมัง สัพฺพันฺตัง นิโรธะธัมฺมันฺติว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีอันดับไปเป็นธรรมดาปะวัตฺติเต จะ ภะคะวะตา ธัมฺมะจักเกก็ครั้นเมื่อธรรมจักร อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้วภุมฺมา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเหล่าภุมมเทพดา ก็ยังเสียงให้บันลือลั่นเอตัมฺภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมฺมะจักฺกัง ปะวัตฺติตัง อัปฺปะฏิวัตฺติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรัหฺมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินฺติว่านั้นจักร คือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้ภุมฺมานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา จาตุมฺมะหาราชิกา เทวา สัทฺทะมะนุสสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราช ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าภุมมเทพดาแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น จาตุมฺมะหาราชิกานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ตาวะติงสา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น ตาวะติงสานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ยามา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นยามะ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น ยามานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ตุสิตา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิต ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นยามะแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่นตุสิตานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา นิมฺมานะระตี เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น นิมฺมานะระตีนัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ปะระนิมฺมิตะวะสะวัตตี เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัดดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น ปะระนิมฺมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา เทพเจ้าเหล่าที่เกิดในหมู่พรหม ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัดดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น พรัหมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ พรัหมะปะริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวาพระพรหมเหล่าชั้นพรหมปาริสัชชาได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นพรัหมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ พรัหมะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมปโรหิตาได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นมะหาพรัหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ มะหาพรัหมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นมหาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมปริตตาภา ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุงฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอัปมาณาภาได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอาภัสสราพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมปริตตสุภาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอัปปมาณสุภาพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นสุภะกิณหะกา เทวา สัททะ มะนุสสาเวสุงฯ สุภะกิณหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหม สุภกิณหกาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นเวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมเวหัปผลาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอวิหาพรหม ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุงฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอตัปปาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นสุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมสุทัสสาพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นสุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตวาพระพรหมเหล่าชั้นพรหมสุทัสสีพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ พระพรหมเหล่าชั้นพรหม อกนิฎฐกาพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่น เอตัมฺภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมฺมะจักฺกัง ปะวัตฺติตัง อัปฺปะฏิวัตฺติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรัหฺมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสฺมินฺติว่านั้นจักร คือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้ อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตฺเตนะ ยาวะ พฺรัหฺมะโลกา สัทฺโท อัพฺภุคฺคัจฺฉิฯโดยขณะครู่เดียวนั้น เสียงขึ้นไปถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้อะยัญฺจะ ทะสะสะหัสฺสี โลกะธาตุทั้งหมื่นโลกธาตุสังฺกัมฺปิ สัมฺปะกัมฺปิ สัมฺปะเวธิฯได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้านลั่นไปอัปฺปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ได้ปรากฏ แล้วในโลกอะติกฺกัมฺเมวะ เทวานัง เทวานุภาวังล่วงเทวานุภาพของเทพดาทั้งหลายเสียหมดอะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานว่าอัญญฺาสิ วะตะ โภ โกณฺฑัญฺโญ อัญญฺาสิ วะตะ โภ โกณฺฑัญฺโญ ติฯว่าโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญอิติหิทัง อายัสฺมะโต โกณฺฑัญฺญัสสะ อัญญฺาโกณฺฑัญฺโญ เตฺววะ นามัง อะโหสีติ.เพระเหตุนั้น นามว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้นั่นเทียว ได้มีแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้แล </strong></span></div>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-75151192684806844482009-09-10T11:49:00.001+07:002009-09-10T11:53:13.625+07:00ผักเป็ด<p><b>ผักเป็ด</b></p><p><!-- Main --><span style="font-size:-1;"><span style="color:#009900;"><br /><b><br />ผักเป็ด<br />Alternanthera rosaefolia<br /></b></span><br /><img src="http://images.temppic.com/07-03-2009/images_vertis/1236439176_0.30791600.jpg" /><br /><br /><br /><b>ชื่อสามัญ</b> Red Hygrohila<br /><b>แหล่งกำเนิด</b> อเมริกาใต้,แอฟริกา,เอเซีย<br /><b>วัสดุปลูก</b>กรวดล้าง<br /><b>สภาพแสง</b>แสงจัด<br /><b>ค่า PH</b>ไม่จำกัด<br /><b>ความกระด้าง</b>ไม่จำกัด<br /><b>อุณหภูมิน้ำ</b>18-20 องศา<br /><br /><br /><b>การตกแต่ง</b> ใช้ปลูกประดับบริเวณกลางถึงหลังของตู้<br /><b>การขยายพันธุ์</b>ตัดลำต้นปักชำในแปลงดินหรือกรวดขนาดเล็กที่ชื้นแฉะ<br /><br />ผักเป็ด (A. rosaefolia) เป็นพืชสกุลเดียวกันกับแข้งไก่ อยุ่ในวงศ์ Amaranthaceae เป็นพืชล้มลุก ใบเลี้ยงคู่ มีดอก มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นแทงขึ้นมาเหนือดิน ใบรูปหอกสั้น ๆ หลังใบสีเขียว ใต้ใบมีสีน้ำตาลแดง ถึงชมพู เป็นพืชที่ต้องการแสงจัดจึงไม่ควรปลูกเป็นกลุ่มหนาแน่น เพราะจะทำให้ใบที่อยู่ด้านล่างได้รับแสงไม่เพียงพอ</span><!-- End main--></p><p> </p><br /><br />ผักเป็ด<br />Alternanthera rosaefolia<br /><br /><br /><br /><br />ชื่อสามัญ Red Hygrohila<br />แหล่งกำเนิด อเมริกาใต้,แอฟริกา,เอเซีย<br />วัสดุปลูกกรวดล้าง<br />สภาพแสงแสงจัด<br />ค่า PHไม่จำกัด<br />ความกระด้างไม่จำกัด<br />อุณหภูมิน้ำ18-20 องศา<br /><br /><br />การตกแต่ง ใช้ปลูกประดับบริเวณกลางถึงหลังของตู้<br />การขยายพันธุ์ตัดลำต้นปักชำในแปลงดินหรือกรวดขนาดเล็กที่ชื้นแฉะ<br /><br />ผักเป็ด (A. rosaefolia) เป็นพืชสกุลเดียวกันกับแข้งไก่ อยุ่ในวงศ์ Amaranthaceae เป็นพืชล้มลุก ใบเลี้ยงคู่ มีดอก มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นแทงขึ้นมาเหนือดิน ใบรูปหอกสั้น ๆ หลังใบสีเขียว ใต้ใบมีสีน้ำตาลแดง ถึงชมพู เป็นพืชที่ต้องการแสงจัดจึงไม่ควรปลูกเป็นกลุ่มหนาแน่น เพราะจะทำให้ใบที่อยู่ด้านล่างได้รับแสงไม่เพียงพอrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-55201511285761756792009-09-08T12:12:00.004+07:002009-09-08T12:18:30.149+07:00คาถากอบเวลาถูกพิษหนอนทุกชนิด<span style="color:#6600cc;">ขัวเขียว คัวเคียว กวางตัวเดียว เขาสองเขา ภาวะนาและกอบไปพร้อมกัน (หากหายให้เอากล้วยน้ำว้าไปวัด)</span>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-35786153757736843512009-09-08T11:41:00.003+07:002009-09-08T12:11:47.070+07:00คาถามหาเสน่ห์<span style="font-size:130%;color:#3366ff;">โอมศรีๆ ราศรีขึ้นที่ผ้านุ่งผ้าหม ขึ้นผมใส่มัน ฟันกินหมาก ปากวาจา ใครเห็นใครรัก ใครทักใครรัก</span><br /><span style="font-size:130%;color:#3366ff;">โอม ครู ครู สิตตากู สวาโหม(คาถามหาเสน่ห์)</span><br /><span style="font-size:130%;color:#3366ff;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">จักขุจิตตัง จิตมลัง มหิมะ (เป่าใสสามี-หรือภรรยา)</span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#33ff33;">นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ทายินดี ยะเอ็นดู บิดาค้ำชู มารดาป้องกัน พุทธังรวมจิต ธรรมธมังรวมใจ สังฆังหลงใหล(คาถาเมตตา)</span><br /><span style="font-size:130%;color:#33ff33;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ตะตะยายา พุทธธัง อี.........พันธนานัง แห่งข้าพเจ้า นายนี้นาย นัง กันนะ เอหิ (เสกน้ำให้กิน)</span><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;color:#6600cc;">(เพิ่มราศรี ท่องเวลาล้างหน้า) มิระ ศะ ศิ ศะ ศิ มิ ระ </span><br /><br /><span style="font-size:130%;"></span><br /><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#990000;">โปรดใช้วิจารญาน</span></strong> </span>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-66046067191170551352009-09-08T11:34:00.000+07:002009-09-08T11:36:47.842+07:00นิทานใต้ นายดั้น<span style="color:#33cc00;">นายดั้นเนื้อเรื่องนิทานเรื่อง นายดั้น เขียนบันทึกลงในสมุดข่อย ต้นฉบับเป็นของวัดท่าเสริม อำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช ระยะเวลาที่แต่งนิทาน คงอยู่ในระยะรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ แต่งด้วยกาพย์ ๓ ชนิดคือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนาง ๒๘ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความบันเทิง สวดอ่านนิทานในยามว่างนิทานเรื่องนายดั้น มีเนื้อเรื่องดังนี้นายดั้น เป็นคนตาบอดใส อยากได้นางริ้งไรเป็นภรรยา จึงส่งคนไปสู่ขอและนัดวันแต่ง โดยฝ่ายนางริ้งไรไม่รู้ว่าตาบอด เมื่อถึงวันแต่งงานนายดั้นพยายามกลบเกลื่อนความพิการของตนโดยใช้สติปัญญาและไหวพริบต่าง ๆ แก้ปัญหา เมื่อขบวนขันหมากมาถึงบ้านเจ้าสาว เจ้าภาพขึ้นบนบ้าน นายดั้นกลับนั่งตรงนอกชาน เมื่อคนทักนายดั้นจึงแก้ตัวว่า"ขอน้ำสักน้อย ล้างตีนเรียบร้อย จึงค่อยคลาไคล ทำดมทำเช็ด เสร็จแล้วด้วยไว แล้วจึงขึ้นไป ยอไหว้ซ้ายขวา"ขณะอยู่กินกับนางริ้งไร วันหนึ่งนางริ้งไรจัดสำรับไว้ให้แล้วลงไปทอผ้าใต้ถุนบ้าน นายดั้นเข้าครัวหาข้าวกินเองทำข้าวหกเรี่ยราดลงใต้ถุนครัว นางริ้งไรร้องทักว่าเทข้าวทำไม นานดั้นจึงแก้ตัวว่า"เป็ดไก่เล็กน้อยบ้างง่อยบ้างพลีย ตัวผู้ตัวเมีย ผอมไปสิ้นที่ อกเหมือนคมพร้า แต่เพียงเรามา มีขึ้นดิบดี หว่านลงทุกวัน ชิงกันอึ่งมี่ กลับว่าเรานี้ ขึ้งโกรธโกรธา"วันหนึ่งนางริ้งไรให้นายดั้นไปไถนา นายดั้นบังคับวัวไม่ได้ วัวหักแอกหักไถหนีเตลิดไป นายดั้นจึงเที่ยวตามวัว ได้ยินเสียงลมพัดใบไม้แห้งชายป่า เข้าใจว่าเป็นวัว จึงวิดน้ำเข้าใส่เพื่อให้วัวเชื่อง นางริ้งไรมาเห็นเข้าจึงถามว่าทำอะไร นายดั้นได้แก้ตัวว่า"พี่เดินไปตามวัว ปะรังแตนแล่นไม่ทัน จะเอาไฟหาไม่ไฟ วิดน้ำใส่ตายเหมือนกัน ครั้นแม่บินออกพลัน เอารังมันจมน้ำเสีย"อยู่มาวันหนึ่งนายดั้นจะกินหมาก แต่ในเชี่ยนหมากไม่มีปูน จึงร้องถามนางริ้งไร นางบอกที่วางปูนให้ แต่นายดั้นหาไม่พบ ได้ร้องถามอีกหลายครั้งแต่ก็ยังหาไม่พบ นายดั้นจึงร้องท้าให้นางริ้งไรขึ้นบ้านมาดู หากปูนมีตามที่บอก จะยอมให้นางริ้งไรเอาปูนมาทาขยี้ตานางริ้งไรจึงเอาปูนมาทาขยี้ตานายดั้นนายดั้นถือโอกาสจึงร้องบอกว่าตาบอดเพราะปูนทานางริ้งไรจึงต้องหายามารักษาจนตาหายบอดได้บวชเรียนคติ / แนวคิดนิทานเรื่องนายดั้น ให้แนวคิดดังนี้๑. สะท้อนภาพของสังคมชนบทนครศรีธรรมราช ที่ชาวบ้านยึดถือความมีน้ำใจต่อกัน คอยช่วยเหลือกันโดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย๒.ลักษณะความเป็นอยู่ของชาวบ้านในชนบทที่เน้นความเรียบง่ายไม่มีพิธีรีตองให้ยุ่งยากถือเอาความสะดวกง่ายเป็นหลักมีการเล่นหัวหยอกล้อกันโดยไม่ถือสา๓. ผู้มีปัญหาและปฏิภาณไหวพริบดี จะเป็นผู้ที่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆได้สำเร็จแม้จะประกอบกิจการงานใดก็จะสำเร็จด้วยดี<br /></span><br /><span style="color:#33cc00;">ไม่ผิดหรอกถ้าจำต้องถอย ล่าถอยกลับไปตั้งหลัก ถึงถอยอย่างนกปีกหัก เพื่อผ่อนพักฟูมฟักรักษาตัว เอาศิลธรรมไว้คอยยึดเหนี่ยว เอาความดีลบล้างความชั่ว เอาความกล้า ชนะความกลัว ไว้ต่อสู้เพื่อตัวของตัวเอง<br /><br /></span><span style="color:#33cc00;"></span>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-17557608427291496952009-09-08T11:23:00.001+07:002009-09-08T11:30:09.718+07:00ฤาษีนกเค็ด<span style="color:#3366ff;">ปรัชญาหนังตะลุง : ฤาษีธรรมกับฤาษีนกเค็ด<br />ฤาษีธรรมกับฤาษีนกเค็ด<br />ฤาษี จัดเป็นตัวละครสำคัญในหนังตะลุงซึ่งจะต้องมี หนังตะลุงหลังจากโหมโรงแล้วก็จะออกฤาษี หรือเชิดฤาษีก่อน เพื่อแสดงการกราบไหว้สิ่งศักดิ์ต่างๆ เช่น พระรัตนตรัย เทวดา เจ้าที่เจ้าทาง เป็นต้น ...<br />อีกอย่างหนึ่ง การอัญเชิญฤาษีออกมาก็เพื่อสยบสิ่งต่างๆ ที่อาจพึงมีในการแสดงต่อไป จากผู้ไม่หวังดีที่อาจใช้ไสยเวทย์ มนต์ดำ มาทำลาย รบกวน หรือหยอกล้อ ทำให้การแสดงไม่ราบรื่น ได้ ...ซึ่งปรกตินายหนังเอง มักจะมีคาถา หรือรู้ไสยเวทย์พื้นฐาน เพื่อป้องกันสิ่งเหล่านี้ด้วย...<br />อันที่จริง ฤาษี นั่นคือ นักพรต หรือ นักบวช มิใช่พระสงฆ์ ... แต่ในการดำเนินตามท้องเรื่อง ฤาษีก็คือเจ้าอาวาสวัด ผู้เป็นอาจารย์สอนบรรดาศิษย์ผู้อยู่ภายในสำนัก ...ซึ่งในกรณีนี้ อาจมองได้ว่าโบราณ มิกล้านำ พระสงฆ์ มาแสดงเป็นตัวละครโดยตรง เพราะเกรงกลัวบาป จึงต้องใช้ ฤาษี แทน ...<br />ฤาษีในหนังตะลุง จะจำแนกเป็น ๒ ประเภท คือ ฤาษีธรรม กับ ฤาษีนกเค็ด ....(แม้ในหนังตะลุงบางเรื่องอาจมีฤาษีหลายตนก็ตาม แต่ก็จะจำแนกเป็นฤาษีธรรมหรืฤาษีนกเค็ดอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น)..<br />ฤาษีธรรม คือ พระอาจารย์ของฝ่ายพระเอกหรือนางเอก จะสอนวิชาธัมมธัมโม สอนคนให้เป็นคนดี มีศีล มีคุณธรรม... และฤาษีธรรมจะมีฤทธิ์ มีวิชาไสยเวทย์ มนต์ดำ มีของดี หรือเครื่องรางของขลัง ให้ลูกศิษย์ไว้ใช้หรือป้องกันตัวด้วย...<br />ฤาษีนกเค็ด คือ อาจารย์ของฝ่ายผู้ร้ายหรือบางครั้งก็เป็นอาจารย์ของพวกยักษ์... ฤาษีนกเค็ดนี้ ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม เช่น ชอบกินเหล้า หรือเรื่องลามกต่างๆ เป็นต้น ...แต่ก็จะมีฤทธิ์และสิ่งอื่นๆ เช่นเดียวกับฤาษีธรรม...<br />วิชาของฤาษีธรรมจะเหนือกว่าของฤาษีนกเค็ด ข้อนี้บ่งชี้ให้เห็นว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม เสมอ<br />ในการที่หนังตะลุงจำแนกฤาษีออกเป็น ๒ ประเภท นี้ อาจสะท้อนความเป็นจริงได้ว่า นักบวช นักพรต ก็มีทั้งพวกตั้งอยู่ในศีลในธรรมและพวกประพฤตินอกรีตนอกรอย ...และอาจารย์มักจะสอนศิษย์ตามมุมมองหรือความคิดเห็นของตัวเอง ...<br />บรรดาศิษย์ก็เช่นเดียวกัน ถ้าไปอยู่กับฤาษีธรรมก็เป็นคนดี ...ถ้าไปอยู่กับฤาษีนกเค็ดก็จะเป็นคนชั่ว ....ข้อนี้เป็นการสะท้อนการคบคนหรือการเข้าสังคมอย่างหนึ่ง ...ดังพระบาลีว่า..<br />ยํ เว เสวติ ตาทิโส คบคนเช่นใดก็เป็นคนเช่นนั้นแล </span>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-86666738898659094982009-08-28T00:37:00.000+07:002009-08-28T00:43:22.623+07:00กวีสัพรีหวน<strong><span style="color:#ff0000;">สัพหลีหวน</span></strong><br /><span style="color:#ffcc00;">ขุนพรหมโลก <br /> นครรังยังมีเท่าผีแหน กว้างยาวแสนหนึ่งคืบสืบยศถา<br />เมืองห้างกวีรีหับระยับตา พันหญ้าคาปูรากเป็นฉากบัง<br />สูงพอดีหยีหิบพอหยิบติด ทองอังกฤษสลับสีด้วยหนีหัง<br />กำแพงมีรีหายไว้ขอดัง เจ้าจอมวังพระราโชท้าวโคตวย<br />มีเมียรักภักตร์ฉวีดีทุกแห่ง นั่งแถลงชมเชยเคยฉีหวย<br />เจ้าคีแหมรูปโอเมียโคตวย ท้าวหวังรวยกอดินอยู่กินกัน<br />มีลูกชายไว้ใยชื่อไดหยอ เด็กไม่ลอเกิดไว้ให้ทีหัน<br />นอนเป็นทุกข์ดุกลอยิ่งคอดัน ให้ลูกนั้นหาคู่เป็นหูรี<br />ต้องไปขอลูกสาวท้าวโบตัก มันตั้งหลักอยู่ไกลชื่อไหหยี<br />เป็นลูกเนื้อเชื้อนิลนางหิ้นปลี เมืองห้างชีปกครองทั้งสองคน<br />หยิบกระดาษดินสอมาจอดับ เขียนแล้วพับอ่านดีครบสี่หน<br />ให้เสนีมีหือถือนิพนธ์ เด็กหนึ่งคนก้มพักตร์มาดักรอ<br />จึงตรัสใช้เสนีให้คลีหาน สูรีบผ่านบ่ายพักตร์เถาะดักหยอ<br />ผมเป็นโรคเหน็ดเหนื่อยหัวเดือยปอ รักษาพอมาคลายกินหายควี<br />แต่นายใช้จำกัดดัดไม่ขอ ถึงเด็กรอต้องไปถึงไหหยี<br />รักษาโรโคตวยพวยทันที จากบุรีเร็วพลันดันไม่รอ<br />เข้าป่าแกแลทั่วกลัวผีเห็น เดินเย็นๆตัดตรงใต้ดงหลอ<br />พบสระศรีบัวชุกดุกขึ้นออ เด็ดสองลอดุ่มกลิ่นหอกหมินดี<br />ชะนีหงส์ลงดินลงกินน้ำ เดินมุ่งตามเห็นรอยหอยกับหมี<br />พบเบื้องอ่างถางใหญ่ไหของคี ใครมาตีแตกสะเก็ดเหมือนเด็ดยอ<br />เที่ยวจรดลยนเค็จไม่เสร็จเรื่อง ใกล้ถึงเมืองหิวจี้ไม่มีหอ<br />อดข้าวน้ำสามวันดันทั้งวอ บอบเสียพอตัวกูเรื่องหูรี<br />พบดอกปอกอดำจำต้องเด็ด ยีให้เหม็ดเกลี้ยงวาวเหมือนหาวสี<br />บรรลุถึงเขตทางเมืองห้างชี เจ้าธานีหัวด่างเป็นสางคลา<br />กำแพงก่อต่อด้านทหารเฝ้า เสียงคนฉาวเข้าไปถึงใดหลอ<br />พวกเสนาเซ็กเซ็กเด็กมารอ มายืนออถามดูแล้วหูดี<br />เราจากไกลไฉแข็งเก่งนักหนา ถือสาราจะเข้าไปให้ไหหยี<br />ท้าวโบตักจอมวังยังพอดี เจ้าหิ้นปลีคีหันหรือฉันใด<br />นายข้อดีว่าอยู่เปิดตูแอด ตาดเกือบแขดเสียงเบียดเรียดไม่ไหว<br />นายดักหยอรายงานแล้วผ่านไป เห็นข้อไลนั่งกันกับภรรยา<br />ค่อยคอด้อมน้อมกายถวายสาร คลีถึงหานวันนี้ดีเข้าหา<br />เนตรยนเค็จเสร็จสรรพพรับสารา ในวาจาโคตวยรักด้วยกัน<br />ได้จากเมืองห้างกวีเจ้าคีแหม มาพูดแย้มบุตรีไปดีหัน<br />ให้ใดหยอขอดูเป็นคู่กัน โบตักนั้นหิ้นปลีพลอยดีใจ<br />เรียกลูกสาวขาวเด็ดเหมือนเห็ดยาง พิศพางค์รัศมีราศีไห<br />ผู้ใดยลทุกเค็จมีเม็ดใย พอเติบใหญ่เป็นทุกข์เพราะหุกลี<br />ได้ฟังพ่อถอดอกเดินออกหา นั่งวันทาลกลกน้ำหกสี<br />เรียกลูกมาเป็นไฉนเรื่องไหคี ได้ลูกนี้เข้าใจเพราะใดคอ<br />เจ้าฟังพ่อยอดกจะยกเรื่อง อย่าคอเดืองเล่าไปเรื่องใดหยอ<br />พ่อจะยกหกเท็จเรื่องเด็ดยอ เด็กไม่ลอข้ามแดนมุ่งแม่นมา<br />ท้าวโคตวยเป็นพ่อมาขอเด็ก ถึงตัวเล็กก็พอดีไม่สีหา<br />นี่ตัวพ่อคอดันลั่นวาจา ตัวเจ้าอย่าขอตัดได้นัดงาน<br />สุดแต่พ่อคลอดำทำไฉน กี่จิ้มไหกับข้าวของคาวหวาน<br />หนึ่งตกข้าวคลีหุกคลุกน้ำตาล สำหรับงานเลี้ยงคนทุกดนคอ<br />แล้วหูหมีฉีหีกฉีกให้เล็ก ไว้จอเด็กพอดีมีทุกหอ<br />หอยกับหมียีหำยำให้พอ ดาวให้ยอไข่เป็ดเด็ดให้ยำ<br />ลูกมะกอกดอกตอขอให้ดูด ฉีเจ้าหูดเส้นหมี่เอาสีหำ<br />แกงตังหุนพรีขี้หิกใส่หยิบตำ ส้มกอดำเชือดตอยใส่หอยจี<br />ควายหนึ่งขาหาหมีใส่ดีหม กวนขนมยาเหม็ดเห็ดฉูฉี<br />ต้องฆ่าไก่มัสการหานเจ้างี ดูเดือนปีถึงวันดันคอยรอ<br />ขึ้นสิบสี่ปีเหิดเปิดโอกาส จำอย่าพลาดแน่ประจักษ์นะดักยอ<br />รีบไปบอกโคตวยเตรียมหวยคอ เราดักรอทำงานการวิวาห์<br />นายดักหยอขอลาคีหากลับ น้อมคำนับทันทีขอลีหา<br />รีบอย่าเหม็งเด็งฉอไม่รอตา หนึ่งพลิบตาถึงวังดังเข้ารอ<br />เห็นคีแหมแย้มยั่วกับผัวรัก นั่งเชยพักตร์นิ่มนุชแม่ดุจหลอ<br />เสนาเฝ้าเล่าเสร็จเรื่องเด็จยอ นางชอบพอหันไหเข้าไยดี<br />ว่าแต่งงานสิบสี่ต่อปีเหิด ลูกที่เกิดพาไปให้ไหหยี<br />การตกเรารู้สิ้นเรื่องหิ้นปลี ถึงวันดียกพลทุกดนคอ<br />พร้อมเจ้าบ่าวแม่พ่อที่ขอดัก ให้ชวนชักกันไปกับไดหยอ<br />เตรียมยกพลเจ้าบ่าวดาวยอ ๆ เลี้ยงให้พอบ่าวสาวหาวเหม็นคี<br />อยู่ในเขตเดือนนี้ยังปีหิด เรื่องที่คิดไว้พลางไม่ห่างถี่<br />ขอแบ่งรักพักรอการหอดี ยกโจรีต่อดั้งคิดหวังรวย<br />จะกล่าวข้อจอโดนเที่ยวโผนผก ขอกล่าวยกถอดอกกับคอกถวย<br />ทั้งสอดองสองนายไม่ไข้ป่วย หวังแต่รวยเที่ยวปล้นทุกหนคี<br />พร้อมทั้งคู่อยู่ใต้ไม่หยีหำ พอเย็นค่ำกินเหล้าแกล้มหาวสี<br />หยิบน้ำพริกมาตั้งนั่งจอดี พอเมาจี้ขอแดงแถลงกัน<br />ว่าคืนนี้จีหีบจีบสักบ้าน ทั่ววิหารบ้านมีแถวคีหัน<br />เมื่อกินแล้วอย่ารอนั่งคอดัน เสกแป้งยันต์เป่าลงให้ดงคอ<br />แขวนทิศหมอนสำคัญลงยันต์เก็ด ผ้าชีเห็ดอย่างดีใส่ผีหอ<br />หยิบปืนพกนกสับใส่ดับคอ พอดักยอคนที่จากที่มา<br />พอึงเมืองโบตักแล้วพักหยุด เข้าจีหุดไฟส่องทุกห้องหา<br />ยืนกินว่านดานวอเอาทอดา พอขึ้นตาตัวแดงรู้แห่งดี<br />เป่าอาคมลมฉีเหมือนผีหูด ลูกหลักฉูดถูกหาของทาสี<br />น่านอนแอบชั่วคราวหาวเหม็นคี เห็นแต่คลีติดไหเข้าในวัง<br />ถึงโบตักอัปรีย์นอนทีหับ กำลังหลับนิ้วชี้นอนหยี่หัง<br />เก็บขอยหมนจนพอยอดัง ๆ เจ้าจอมวังฟอดิ้นค่อยลืนตา<br />เสียงปืนลั่นทันทีนอนผีหิง กลีบนหิ้งพอดีมือควีหา<br />ลุกตะลึงหึงหมีเรียกธิดา พวกโจราเข้าวังดังเอาคลอ<br />เข้าบังคับจับตัวหัวกับผี เอาหีบคีไม่หลุดดุจเกือบหลอ<br />เก็บของใหม่ไหหมีทุบตีต่อ ใดไม่ปอยอมตายกลัวหายตี<br />แม่หนีเห็บเจ็บจี้ยิ่งคีหัน โกรธตัวสั่นตบหังเข้าดังผี<br />ท้านแค้นในไลเข็ดเอาเห็ดยี เข้าราวีรอดั่งประทังกัน<br />ฟอกับดาดหวาดหวั่นหันดังสี ถูกหูหมีร้องฉาวเข้ากี้หัน<br />ถ้าไม่ตายย้ายเด็ดให้เหม็ดยัน กระโดดฟันดาบกินเข้าหิ้นปลี<br />ร้องอึ่งมีสีเหียวปลายเตียวแขด ถึงเต็กแหลดอยู่ไม่ติดโลหิดฉี<br />เมียม้วนดิ้นสินใจพึ่งไหคี บ่าของพี่ขึ้นรับต้องดับคอ<br />ฝ่ายลูกสาวไหหยีหนีเถอะพ่อ หยุดดักรอโจรีจะขี่หอ<br />สู้ไม่ไหวพ่อก็เหนื่อยเพราะเดื่อยปอ ดวนก็นอชะแรลงแก่งอม<br />พลางร้องใช้ไหหยีรับหนีหัน แม่เจ้านั้นเป็นผีผู้จีหอม<br />ยังคงแต่ตัวพ่อเป็นจอดอม สู้อดออมจอดนไปจนตาย<br />กำลังรุมดุมสอเข้าทอดับ จะจีหับไหหยีวิ่งหนีหาย<br />พาหิงวี่ตีหัวความกลัวตาย ไปแอบกายบังตอใต้ยอดิน<br />พวกโจรีตีหามวิ่งตามสาว พอลมว่าวพัดฉีได้กลี่หิน<br />พบแต่รอยขอยหมนหล่นกลางดิน ยิ่งหมีหินแถวทางลาบหางนี่<br />พบสักทีคีหันได้ยันเก็ด จะยีเท็จวิ่งศูนย์พาหูนสี<br />เที่ยวยีแหงแดงขอเดินยอดี จับไหหยีฟังข่าวใต้ดาวยอ<br />พ่อเป็นตายไม่รู้เพราะหูกี ยังเห็ดยีก็ไม่เก่งเด็งจะฉอ<br />ครั้นกลีหับกลับบ้านดานแทงวอ จากใต้ยอยีหายพากายมา<br />เป็นกุศลหนคีตามทีหัน กระทั่งทันโยคีฤาษีหา<br />เห็นกุฏีปลูกล่อศาลอดา ค่อยพีหารีหูไหว้มูนิน<br /> จะยกข้อโยคีฤาษีแหม อยู่ที่แคมกุฎีนั่งกีหิน<br />เป็นอาชีพชอบพอไม่กอดิน รักษาศิลเข้าฌาณสังขารใย<br />เห็นสีกานารีนั่งมีหอง เข้ามาร้องที่นี่ใครตีไห<br />เห็นหาวสีหลีหามพ่อถามไต่ มุ่งตาใสลีแหมาแต่ตัว<br />พ่อแม่ยายย้ายเข็ดไม่เสร็จเรื่อง เพราะรีเหื้องจากผีคิดหนีหัว<br />อยู่ไม่ได้รูปหล่อหลบหอดัว เลยปลีกตัวพีหามาถึงตี<br />ฟังโยคียีแหมพูดแยัมหน่อย มีน้ำหอยนีไหตกไหลฉี<br />เอามือยีคลีห้าวหามเท่าชี เล่ามุนีฟีหังอย่างกังวล<br />ท้าวโบตักเห็นพ่อหล่อกว่าเด็ก ชื่อไม่เล็กมั่งมีไม่จีหน<br />ฉันไหหยีชอบพอทุกคอดน เพื่อนทุกคนเห็นทักมาดักยอ<br />ต้นฉบับเลอะเลือน<br />แม่ถูกฆ่าพ่อถูกตีเอาดียอ ดังในคลอกวาดเก็บน่าเจ็บใจ<br />ลูกขอพักที่นี้พอฝีหาก ทนอดอยากสักทีตามจีไห<br />พ่อยินดีพีหาหลังคาใน ห้องสีไหต่อดั้งที่บังกาย<br />อยู่ที่วัดหัดวิทย์สอนหิดสี หอดีๆ หัดเทศน์วิเศษหลาย<br />เรียนคาถมดมคอมีหลอดาย พ่อสอนให้ทุกประการถึงหานวี<br />จะเหาะเหินเมฆีวิถีหาง ถ้อว่าพลางลอยสูดขึ้นหูดถี<br />เจ้าตาบอกหมายนั่งหำดี ทำฤทธีเหาะไปพ้นใดกอ<br />ถ้าสูงนักสกุณีจะจีหิก พอหายพลิกสู่ที่ธรณีหอ<br />ได้ทุกทางไม่ส่งใครด้งจอ ถึงดาวยอตีหัวไม่กลัวใคร<br />จนค่ำดึกฝึกหัดยัดข้างเว็ด ย้ายจนเด็จกับฤาษีนั่งคลีไห<br />ขอหยุดบทจดต่อเรื่องขอใด กล่าวต่อไปโบตักทรงศักดา<br />เข้ามากอดหิ้นปลีนั่งคลีหำ นับว่ากรรมของพี่พระยีหา<br />เคยยอดีรีหูอยู่กันมา เจ้าลอดาแล้วน้องให้หมองนวล<br />เมื่อบุญยังดี ๆ ปีกับไห ยามไปไหนตัวพี่เคยชีหวน<br />ถูกถอดอกตอกตำยำยียวน ไม่ถึงควรถึงตายแม่หายควี<br />ยกภูษีปีหิดแล้วปิดศพ ชาติหน้าพบกันเล่าเถอะหาวสี<br />แม้นตายไปข้างหลังยังยอดี เก็บหิ้นปลีทำศพพอจบเดือน<br />เธอไว้ทุกข์ดุกลอเป็นบ่อรัก เฝ้ารีหักโศกีไม่หมีเหือน<br />ใกล้พอดีวิวาห์เขามาเตือน พอถึงเดือนบุตรโตท้าวโคตวย<br /> แสดงยอตอตั้งเกิดดังขลอ ดุกมันลอเต็มที่เรื่องคีหวย<br />นายใดหยอรอดักรักหวังรวย พร้อมโคตวยลูกบ่าวเขาเล่ามา<br />ว่าบังเกิดฉาวเฉินเหินขาวผี จับเห็ดยียิงปล้นเข้าค้นหา<br />ยิ่งร้อนหนักดักรอรีบพอดา ใช้บุตราไดหยอแขบกอดิน<br />รับข้าวน้ำหามชีฉูฉีเห็ด เนื้อใยเก็ดหายควีกีกับหิน<br />;แขบไปหาอย่ารอหิ้วหม้อดิน ใสน้ำกินตัดทางเมืองหางชี้<br />รีบครรไลใดหลอคอเกือบหัก บุกรีบรักร้อนใจด้วยไหหยี<br />จะแต่งงานยานเว็จไม่เสร็จที เกิดธุลีขอดัดน่าขัดใจ<br />ตัดทุ่งกว้างทางใหม่ป่าไทรโขก ต้นขลีโหกหัวหมีไม้พีไห<br />ล้วนหุมยีรีหาพ้นหญ้าไทร น้ำคลอไดไหลคล่ำเป็นลำธาร<br />ลงหวิดตักลักบ้างพอสางร้อน ข้ามดีหอนหาวยีลำธีหาร<br />อัศจอขอดันเกิดบันดาล รู้เหตุการณ์ว่าวัดไม้ดัดงอ<br />ต้นสีขาวยาวรีข้างกีหุด ยืนก้มมุดถามไถ่เรื่องใดหลอ<br />ช่างคนไทยหรือเจ๊กให้เด็กกอ ใดขึ้นปอบนกุฎิขอหยุดกัน<br />ได้จากบ้านมาไกลผมใดหยอ ถอนใจผลอพอดี-ฤาษีหัน<br />นั่งเสกดินสอพองป้องเก็ดยัน ถ้าคอดันใส่หายไว้ใช้เอง<br />นี่เจ้ามาเพียงนี้ตามคลีไห จงปราศรัยกับฤาษีอย่ากรีเหง<br />เจ้าอย่าหกยกคำทำกรอเดง คนกันเองเล่าพอได้ยอดี<br />ผมเที่ยวตามคู่หมั้นจนดันสอ หญิงที่ขอนี่หรือชื่อไหหยี<br />ถูกโจรปล้นตกใจเอาไหคี ผมรีบรีข้ามแคว้นถึงแดนลอ<br />เรื่องนารีซีหักพักในกุฎิ จะยอดุจสีไหคร่าวไดหยอ<br />เรียกพี่หามานี่เอาดียอ ด้งมันจอนั่งถ้ามาเร็วๆ<br />สาวดุ้งตื่นพอดีฤาษีแหบ ลุกขึ้นแขบทันทีเจ็บอีเหว<br />เอื้อมหยิบหวีสีหางอย่างม้าเร็ว แต่งเลวๆพอเสร็จเสด็จยัง<br />ถึงมูนีหวีให้ภิปรายถาม ใครตีหามานี่ระวีหัง<br />นี่คู่หมั้นรูปหล่อเขายอดัง งานข้างหลังเขาจะแต่งกับแหงดี<br />เป็นคู่รักใดหยอน่าถอดอก สาวยิ้มออกหัวฉาวหาวถีๆ<br />เล่าแต่หลังดังฟอจบพอดี ตัวผมนี้จะพาคนเอาดลยอ<br />จะแต่งงานต้นปีมารีหับ เกล็ดไปยับเมืองใหญ่บ้านไดหยอ<br />พ่ออย่าขัดตัดคำตำติดรอ เด็กนั้งคลอหมีเห็นนึกเอ็นดู<br />ไม่หยุดรอดีฤาษีให้ พอกราบไว้มูนีนั่งดีหู<br />สวัสดีตีหามตามคำครู วันกินอยู่หอดีอย่ามีภัย<br />ทั้งกกกอปอดีอย่ามีหมอง ให้เงินทองเกิดมีทั้งสีไห<br />รับเอาพรของพ่อลูกขอได ลุกขึ้นไปเดินตามพาหามตี<br />แล้วบีหอกออกรกยอดกหน่อย ชมอึกอ้อยซีหำต้นดำหมี<br />กรูดฝีไหใยเค็จชมเห็ดชี ด้นยอดีเดือยปอลูกกอดิน<br />นนทรีย์ห่มนมหวันต้นจันทร์สัก ไม้บ่ารักแหนหยีย่านปีหิน<br />พยอมเค็ดเหม็ดหมันลูกจันทร์อินทร์ เต็มแผ่นดินแน่นไปหนัดใดกอ<br />ชมไปพลางย่างเค็จพบเห็ดงอก ถอกับดอกชมเล่นให้เด็นหอ<br />ดอกไม่ดียีเห็ดเด็ดเกือบลอ ดอกไม่ปออย่าทุกข์เจ้าหุกลี<br />เห็นไหหยีหนีเหื่อยเดินเมื่อยเหน็ด บุกป่าเห็ดดอกขาวเหมือนหาวสี<br />หยุดกันไปใยเป็ดถอนเห็ดยี เอาหีบคีพอเสร็ดหายเข็ดเลย<br />ระอาเอือนเหมือนไข้ไม้ตีหอก มันแทงยอกเจ็บจี้หนามตีเหย<br />โลหิดฉีหวีห่างยกย่างเลย สาวไม่เคยหนามตำเข้าหำดี<br />พอถึงวังยังที่ต้อนรีหับ จะขอจับโคตวยแม่หวยสี<br />เห็นลูกบ่าวดาวยอว่าออดี หัดถ์ชูลีไหว้พอยอดัง ๆ<br />ค่อยยกย่องสรรเสริญเกิดเหินหมี เมื่อลูกนี้อยู่ไปในวีหัง<br />หอบเงินทองของเสร็จในเว็จยัง ของคลีหังวังทองหัวดองทอ<br />พ่อรู้ข่าวฉาวเฉินพาเหินดี นางหิ้นปลีแม่เจ้าถูกดาวหลอ<br />ท้าวโบตักย่อยยับดับเกือบพอ เดือยพานอยกธงเกือบปลงชนม์<br />พ่อให้ลูกตามไปรับไหหยี พาหับกลีวีหายไม่ไร้ผล<br />ไปแต่งงานบ้านพ่อเขาจอดน ไม่มีคนขอดัดจะจัดการ<br />กัดกินเลี้ยงที่นี่วาวีหา สุริยาทีเหียมเตรียมของหวาน<br />ถึงปีเหือนเดือนจอพอประมาณ มาในงานทุกคนทั่วดนคอ<br />พวกแก่เฒ่าบ่าวยักนั่งดักล้อม พรีทุกห้อมมากมีนั่งอีหอ<br />บ้างชูแว่นจุดเทียนนับเดียนวอ เด็กมารอชีเหินเจริญพร<br />ชะยันโตโยเห็ดกันเสร็จสรรพ เตรียมห้องหับวันดีนีกับหอน<br />หยุดรอดักลักบ้างวางไว้ก่อน จับเป็นตอนต่อไปใดจะคลอ<br /> พอค่ำดีสีหำดำทั่วจบ ไม่หลีหบนอนในกับไดหยอ<br />เกิดฝนตกสกเส็กเด็กไม่ซอ เด็จจะยอจีหุกนอนคลุกคลี<br />มือฟีหาฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ เด็กซีหาบชายฝาหลังคาสี<br />พระพายฉัดพัดพวยหวยติดคี หันยังมีนอนทนให้ดลยอ<br />พอเสร็จสรรพหลับดีตอนผีเหย เงียบไปเลยเข้มแข็งปลายแด็งฉอ<br />ตำนีหารจารย์เพิ่มเอาเดิมต่อ ดั้งมันยอตีหั้งเรื่องยังมี<br /> ยกแม่หม้ายร้ายชื่อคนลือดัง ยีแต่หังไม่เล็กชื่อเห็กหลี<br />เกิดตัณหากล้าพอไม่มอดี ไหขึ้นคลีไม่มีคู่จะอยู่ครอง<br />ผัวฉันตายหายไปชื่อไคหยวย เคยอยู่ด้วยหลายปีเฝ้าคลีหอง<br />ไม่มีโรคติดต่อดายขอดอง พอคนองเข้มขันเกิดหันคี<br />หาไม้แทงแยงเกล็ดวันเจ็ดแบก หิบไม่แตกกล้าแข็งแคมแหงหวี<br />ทนไม่ไหวใยเข็ดไม่เม็ดยี ขบทุกทีมากคนพอดลยอ<br />ต้องจากที่รีหูเมืองกูเกิด พอปีเหิดแล้วอวดดีนั่งยีหอ<br />เคยผลาญมามากมายดายชอ ๆ เด็กไม่รอเคยตายมาหลายคน<br />แม้นอยู่ไปที่นี่คับคีแหบ หาชายแอบสักทีได้ยีหน<br />รีบพีหาระเห็ดได้เค็ดยน ตัดถนนที่ห่างยกย่างมา<br />บุกป่ารกหกฟีเดินสีแหบ ไม้ถอบแถบดีปลีกันชีหา<br />ออกทุ่งกว้างห่างดีมีชะตา พบโจรป่ายีหายมาใต้ซวย<br />ฝ่ายโจรังหังยีออกหลีหัก มานั่งพักคีโหกเป็นโชคสวย<br />จะได้ชมสมปองสองคอดวย ผลอำนวยมีถึงที่นอน<br />แม่หนูจ๋าให้พี่ขอจีหูบ พอเห็นรูปรักจี้แม่หลีหอน<br />ชื่ออะไรถีหามถึงนามกร จากนครเมืองแมนเจ้าแดนลอ<br />ฉันล่ำเล็กเห็กหลีจากรีหู เป็นเมืองอยู่ไม่เก่งเด็งขี้ฉอ<br />ผัวฉันตายหลายปีดีไม่มอ ใครดักยอกลี่หอมจะยอมตัว<br />ได้ฟังคำหำดีไม่หนีหาย พี่อยากได้เห็กหลีเป็นผีหัว<br />เจ้าอย่ามีสีหาพี่พาตัว ทำกลอดัวละอายมิใช่ดี<br />แม้นไม่รักวันนี้ถูกถีหุ้ง มัดให้ยุงกัดคันยืนหันสี<br />เราเคยล้างหลายเด็กเห็กลี ๆ แหนบี ๆ ใต้เหนือไม่เหลือใคร<br />หากท่านมีกำลังหวังดีให้ อันตรายธุลีข้างนีไห<br />ยอมเป็นผีหนีหายไม่หน่ายไป สาวหักใจยอมโดยให้โจรจี<br />ยิ่งชอบพอถอดอกกับคอกถวย อยู่ใต้ซวยนอนแถลงกับแหงหวี<br />พอดุกลอเป็นทุกข์เกิดหุกลี ท้องเมฆีลมพัดกระจัดพัง<br />ใบไม้ขูดบูดรักเกือบหักแหก เสทือนแยกธรณีทั่ววีหัง<br />อาโปในไหลสอบนหลอดัง พวกชาววังยิกโหนเข้าโคนคลี<br />พอรุ่งรางสว่างใสเสียงไก่เขา กากระเหว่าร้องอยู่ว่าหูหยี<br />โจรทั้งสองสิ้นชีพเพราะหีบคี ไม่สิ้นดีรอดมค่อยสมกัน<br /> จะขอโปรโบตักคอยลักเบีย ตั้งแต่เมียเป็นผีชีวีหัน<br />ยิ่งกว่าถูกคลีหึนเกิดมึนมัน สอแต่ดันค่อยเขยิบขึ้นเติบแรง<br />พอหิ้นปลีหนีหายมาตายเสีย แต่แรกเมียไม่มีที่จะกวีแหง<br />ไม่มีเมียไม่สุขยอทุกแดง จะหุงแกงไม่ได้ผลเหมือนหนคี<br />เกิดกำลังบังอาจต้องตลาดปลอก แตกขาดออกเกลี้ยงผาวอยากหาวสี<br />วันเจ็ดปลอกไม่พอย่านปอดี หาไหคีมาประดับสำหรับครัว<br />ไว้ใส่น้ำแก้ร้อนเป็นบอนรัก เย็นชื้นอักแน่นจี้ยังมีหัว<br />ออกสืบถามยามเพล็ดหวังเม็ดยัว ขาดสวนครัวหิงหยีเสียปีเดียว<br />ออกจากที่มีหันเดินคันหัว สืบให้ทั่วคีหังนั่งคลีเหียว<br />แม่หม้ายสาวหาวสีมีคนเดียว ไม่ข้องเกี่ยวมากมายเสียดายคอ<br /> สองโมงเช้าเห็กหลีหนีถอดอก เก็บศพซอกสองผีใต้ยีหอ<br />ออกห่างผีมีเหินแล้วเดินต่อ เจอะดาวยอโบตักเอาหักดี<br />ร้องถีหามถามทักที่รักหยูด พี่สัยหูดอย่าหลอกบอกเห็กหลี<br />ท้าวโบตักอักหย่อนพูดอ่อนดี ว่าหายดีเป็นหม้ายมาหลายเดือน<br />ได้ของอื่นหมื่นแสนในแดนสอ ให้ชอบพอใจพี่ไม่หมีเหือน<br />นี่เจ้าดีไม่มอเที่ยวตอเดือน ทิ้งบ้านเรือนหาผัวให้หัวตี<br />ฟังคำพูดหูดถีคุณพี่ถาม เห็กหลีหามตอบพลันพูดหันสี<br />อยากหาผัวตัวหนุ่มเอาหุมดี ฉันยังมีเรี่ยวแรงให้แดงยอ<br />หม้ายต่อหม้ายย้ายเด็ดไม่เสร็จเรื่อง นั่งปลีเหื้องไม่ให้ไปเอาไดหนอ<br />เราใช่เหรี่ยงเชียงใหม่ใดคนทอ ดาวก็ยอกลับหลังหังก็ยี<br />ไม่บัดสีดีหูเป็นคู่เคล้า นั่งคลี้หาวกลางทางยกหางถี่<br />รอกับดวนชวนนางกลับห้างชี เป็นเมืองพี่ใหญ่กว้างเหมือนด้างชอ<br />ค่อยชมพลางเดินพลางป่ายางเกว็จ ผักชีเห็ดแหนบีคนทีสอ<br />แก่นขลีหาดหนาดเหนียดเดียดเข้าซอ ดังถึงวอพานางเข้าปรางค์นอน<br />น้ำห้อยยีสีเหงื่อติดเสื้อปราด คลี่หมอนสาดตีหังนั่งวีหอน<br />แม่เห็กหลีหนีเหื่อยลงเมื่อยนอน ท้าวเอื้อมกรจีหับไม่หลับลง<br />กลีเรื่องหุ้มดุมขาดกระดาษปะ ปอกับดะคืนนี้ได้บีหง<br />พลางยวนยีอีแหบล้มแนบลง นอนเล็ดยงกอดรัดยกดัดงอ<br />เหมือนเอายางวางใส่ในกระบอก ขบไม่ออกปล้ำกันปลายดันสอ<br />ฝ่ายเห็กหลีไม่เหนื่อยเดือยไม่นอ เด็ดคอยยอหยุดพักไว้สักคราว<br />ถ้าสีแหบแสบตับหลับเสียเถิด อย่าปีเหิดแมลงหมีจะคลี่หาว<br />เห็ดให้หมอหอเด็นเป็นคราว ๆ ตกเรื่องราวข้างท้ายแม่หายนี<br /> ยกไหหยี ใดหยอนอนคลอดัก เฝ้าร่วมรักสมสองหองเป็นหนี<br />จะผัวไปไหว้หายแม่ยี สิ้นชีวีโจรนั้นเอาดันฟอ<br />ยังแต่พ่อต่อตั้งคิดหวังเหวิด กลับบ้านเกิดคลีไหชวนไดหยอ<br />ไหนว่าเจ้าเหือยปีเพราะดียอ หยุดพักรอลีห้างให้สางคลาย<br />พี่จะหายาดีมายีใส่ ร้านหมอไทยแหนบีเขามีขาย<br />ถ้าแผลมีหวีหางบีบวางปราย อย่าปล่อยไว้แช่ดองให้หองพี<br />ตั้งแต่พี่ยีเห็ดท้องเจ็ดเดือน ไม่อีเหือนไปเลยไหหยี<br />พอประสูติดูดรอสิ้นข้อดี ว่าลูกนี้ยีหิงเป็นหญิงชาย<br />ใกล้จะถ้วนด่วนกอพอครบสิบ กลัวลีหิบยีหังนั่งยีหาย<br />เจ็บเห็ดหวีสีหาวตอนเช้าบ่าย นอนยีหายสีแหบนึกแปลบใจ<br />หมอลีแหแต่หยำประจำบ้าน คลีบอกหานว่ามานี่วิไห ๆ<br />น้องเจ็บจี้หนีเหงือยเสื้อเปือยใน ทนไม่ไหวสีแหบแขบให้มา<br />ฝ่ายเจ้าผัวใดหยอใช้หมอดัด ช่วยปีหัดสักทีพอซีหา<br />แพทย์ใกล้ไกลไหคีรีบปรี่มา เข้าฟีหาคลีหำขยำลอง<br />พอยามดีปีหายเกือบได้การ พวกแม่ท่านหำดีนั่งมีหอง<br />ลมกำมัดดัดพอเป็นคลอดอง น้ำนีหองตีหามคลอดตามกัน<br />บริสุทธิ์บุตรี แม่ลีหือ ตัดสายดือพอดีล้างสีหัน<br />ถ้าหอเด็นเป็นชวยได้สอดัน ช่วยปล้ำกันป้อนยาน้ำหาที<br />ทาขมิ้นหิ้นหวีสีตามไห ปล้ำฟืนไฟให้ผิงพวกหิงหยี<br />นอนปีเหิดเกิดง่ายเหมือนหายคว หำไม่ชี้หนีเห็ดอยู่เจ็ดวัน<br />กอดบุตรตรีหวีเหียงนอนเคียงข้าง เฝ้าลีหางชีหมให้ดมถัน<br />ใดห้าปีสี่เห็ดเหม็ดนึกยัน ตั้งชื่อพลันลูกสาวแม่หาวคี<br />ฝ่ายเจ้าพ่อยอดังนั่งเฝ้าลูบ ก้มจีหูบค่อยชมผมหุ้มหยี<br />ยังไม่กลับบ้านพ่อเฝ้ายอดี ได้สิบสี่เชี่ยวพ่อได้หลอดาว<br />ไว้นั่งเล่นเห็นดีเอาคีหีบ กระโตนบีบช่วงสีแสงวีหาว<br />พออยู่ไปใจรักยักบ่าว ๆ ทนชั่วคราวค่อยถ้าสิบห้าปี<br /> ยกจอมจักรนัคโรถึงโบตัก เป็นทุกข์หนักจอมใจถึงไหหยี<br />กระโดดโผนโจรปล้ำแม่หำดี วิ่งหันสีบั้นบุกถูกรุกราณ<br />ไปเจ็บไข้ย้ายเด็ดหรือเข็ดแค้น ยังคีแหนไม่กลับที่บุรีหาน<br />บอกเห็กหลีหนีหัดต้องจัดการ สืบข่าวสารให้แจ้งทุกแหงดี<br />เจ้าอยู่วังย้นเก็ดวันเจ็ดหน อย่าจอดลค่อยระวังเฝ้าหังหนี<br />ตามรูปหล่อฉอดุจพระบุตรี สั่งเห็กลีเมียรักป่ายพักตร์มา<br />อยู่ข้างหลังนั่งคอยคิดถอยหมอน ความเดือดร้อนเกิดมีสีๆ หา<br />นอนยีหัวชั่วคราวเฝ้ารอดา อยู่ ๆ มาศูนย์เปล่าแล้วเหารี<br />ทั้งสมบัติเงินทองดองเจ้าขอ ได้ไม่พอลูกสาวหาวยังสี<br />อีกสิ่งหนึ่งมีหลานเกิดหานปี หองพี ๆ เสียหายไม่ได้เรา<br />ทั้งเงินทองของมีปีบนหิ้ง ให้ลูกหญิงทั้งนี้เรากีเหา<br />คิดผีหายฆ่ามันจะบรรเทา เหลือแต่เราอยู่กินแทนหิ้นปลี<br />ริษยาฆ่าตีให้หมีหด กลืนสกดนิ่งในรอไหหยี<br />ขหยีหับดับเกียงทำเหียงบี เรื่องพอดีไดหยอลาพ่อมา<br />ชวนลูกสาวหาวคีเดินคลีไห เด็กพอใหญ่สิบสีเข้าปีหา<br />ออกตรีเหียมเตรียมพ่อพารอดา พี่แต่หาสองแผ่นแหนบี ๆ<br />พร้อมทั่งเมียลูกพ่อเดินยอดัก บุกรีหักรักแบกป่าแหกหลี<br />หนามปีหาดตาดแขดเข้าแหดดี โลหิตฉีนีไหชวนใดปอ<br />ใกล้ถึงเมืองห้างชีหนี ๆ เห็ด อย่าตามเท็จชมชี้บอกหนีหอ<br />หยุดสักทียีเหียนเดียนตามวอ ข้ามดอนตอปอคิดเจอะบิดา<br />ยืนสังเกตเนตรยลลงบนเค็จ น้ำตาเล็ดไหลรี่ดังฉีหา<br />เจ้าหนีเห็ดไปใยพาใครมา ดูหน้าตาผึ่งผายเหมือนหายควี<br />นี่คือลูกนี่ผัวแล้วหัวเราะร่อ ดอกผึ่งถอได้ฉันคราวหันสี<br />เมื่อปีเหิดเกิดนานรูหานบี ชื่อหาวคีสวยเด็จไม่เค็จใย<br />ยืนถามพ่อรอดูใครอยู่วัง ทิ้งคลีหังหมีหอยของน้อยใหญ่<br />เจ้าอย่าทุกข์ดุกลอเป็นยอใด อย่าตกใจเวียงวังหังพ่อยี<br />พ่อเพิ่งมีเมียใหม่ใยเไม่เหว็ด ย้ายจนเข็ดรุ่งเผ็กชื่อเห็กหลี<br />ให้มารับหลานสาวแม่หาวคี พร้อมไหหยีลูกสาวให้เข้าไป<br />ทั้งลูกสาวคนนี้ไปยีเห็ด ปรึกษาเสร็จเห็นดีข้างนีไห<br />ค่อยหันหลังดังขอชวนปอได ประเดี๋ยวใจผีหึงมาถึงวัง<br />เห็นแม่เลี้ยงเหียงบีนั้งกีเหา เธอกอเดาพูดดีแล้วอีหัง<br />พี่คิดถึงหึงมีอยู่ที่วัง กลัวร้อยชั่งดิ้นรนเรื่องดลยอ<br />พอมาถึงไหหยีลูกสีหาว ไหว้พ่อเฒ่าเข้าไปพร้อมไดหยอ<br />เคารพสามถามไถ่ใดลูกคอ นิยมยอชมเชยคลำเหยลี<br />เต่ากับแรดของนี้ผูกจี้ห้อย พลีกับหอยทองแท่นค่าแหนสี<br />ธำรงน้อยก้อยใส่เท่าไหกี ให้แหงดีเป็นหลานที่ผ่านมา<br />เหือกติดปลีฉีหีกอีกลูกเขย ไม่ว่างเฉยลองมีบันดีหา<br />เรื่องเงินทองของพ่อไม่สอตา เครื่องเสื้อผ้าแพรพันหันคี ๆ<br />เมื่อลูกชอบมอบให้ถ้าย้ายเด็จ หมีทุกเห็ดแก่เฒ่าหาวสี ๆ<br />เข้าดับบ้านดับช่องห้องดี ๆ ให้พวกนี้พีหักกันสักคราว<br />ผ้าที่นอนหมอนมีนีเหมือนหวน พ่วยนวล ๆ จัดให้มีแก้หนีหาว<br />พอค่ำดีหมีหินไม่สิ้นคราว น้ำค้างพราวลมโชยดกยกโหยรี<br />เกษรร่วงหวงกลีลงยี่หุบ ซอตามดุบหลั่งในน้ำไหสี<br />ท้ายชวนเมียเคลียครอพาหอด หามเท่าชีเข้าพักเถิดรักเรา<br />เข้าสู่ที่คลีไหถอนใจหือ เอื้อมจับมือสามีให้กีเหา<br />หันมันคียีขาทำตาเพรา พระง่วงเงาทีหับระงับเลย<br />พอแสงทองส่องดีสีเหงา ๆ เสียงไก่เขาขันถี่ว่าสีเหย<br />สดุ้งดีลีเหียปลุกเมียเลย พระกรเชยสีหันไม่ผันแล<br />ทำหน้านิ่งนิ้วชี้เอาสีไห หลับกระไรป่าฉะนี้ไม่ปลีแห<br />สดุ้งตื่นขืนใจไหวตัวแปร คอยคิดแต่ลบล้างให้ห้างรี<br />เอาบุตรีถีหวงคิดลวงหลอก จับปีหอกลอยแพกระแสร์ศรี<br />ท้าวโบตักเป็นผัวกับหัวกลี พูดกันที่ห้องหับประดับลอ<br />มาอยู่นานบ้านมีตั้งสีห้อง ได้แต่ของโน้นนี้หนีหอ<br />เครื่องผ้าผ่อนช้อนขันหัวดันกอ เด็ดค่อยยอกลีหับลากกลับเมือง<br />ว่ากระไรไหนพูดทำบูดรัก อย่าหมองพักตร์โสกีชำลีเหี่ยง<br />พี่ไม่ห้ามยามเพล็ดไม่เข็ดเคือง การกลับเมืองมาเยี่ยมทาษพวกหาดยี<br />จะขอหลานผ่านทางป่ายางเกว็จ ยามเสด็จเป็นเพื่อนห้ามเหือนถี<br />พาก็พาอย่าละเมิดให้เหิดปี ไหไม่หยีเที่ยวระเห็ดเค็จจะยน<br />เรียกหาวคีมีหน้านั่งถ้าคร่าว เรียกพ่อเฒ่าเรียกถี่เหมือนยีหน<br />นั่งก้มพักตร์ตักบายคลายยุบล เห็นขอยหมนคอยแจ้งรูแหงดี<br />บอกแม่พ่อยอดกเดือนหกกลับ ขหยีหับลาเสร็จออกเห็ดหนี<br />ป่ารีห้างทางรกเดินหกฟี ถึงทันทีลีเหทะเลวน<br />แล้วคาดแพยาวรี่ไม้สีหาม เชือกผูกข้ามฉีกฝอยย่นขอยหมน<br />สาวไม่นีในหึกรู้สึกตน ว่ากอดลแม่เฒ่าของหาวคี<br />ใช้ให้ลงไปรอถอกับดอก ถีบแพออกปล้ำกันรูหันสี<br />พอฉาบฉายใกล้ลึกหึกบี ๆ เห็นพอดีต้องม้วยด้วยหวยคัว<br />กระโดดน้ำหามพลีทีหอน พักหยุดร้อนริมฝั่งนั่งหวีหัว<br />กลับไปเยี่ยยมผัวรักไม่กลักบัว จ้งดีชั่วเรื่องราวของหาวคี<br /> จับถึงสาวหาวสีนั่งปีหิด ยามสถิตย์ลอยแพแหเป็นหมี<br />ไม่รู้เลยว่าเขาทำใจหำดี หองยังพีตกคับมาอับปาง<br />ต้องน้ำเชี่ยวเตียวแสดแสงแดดส่อง นั่งมีหองโศกีไม่สีหาง<br />เกิดธุลีทีแหกแพแตกต่าง ล่มลงกลางสมิหุดเกาะหยุดมา<br />ฝูงมัจฉาพาฉีนึกสีแหบ เข้าว่ายแอบหาปลีเที่ยวพีหา<br />ผลบรรดาลหานปีมีชะตา เทวอดาสีหงษ์ไม่ปลงชนม์<br />จะจอดับขับข้อเทวอเดช ปรารภเหตุสว่างดีทางสีหน<br />วิชะยันหันเห็กจอเด็กจอเด็กจอดล พิมานบนสีหำไม่เห็นดำเห็นดี<br />สถิตย์แท่นนพรัตน์เวียนหัดถ์เวียนหัว สดุ้งตัวปีหามหันสามหันสี<br />นั่งก่อดมลมพังพอดังพอดี หรือไหคีแตกรานลักบานลักบน<br />หรือใครบวชสวดยัดนอกวัดนอกเว็จ ยังไม่เสร็จหลับไหลบี ไหบีหน<br />แสนลำบากอยากจะรู้ขอดูขอดล โลกสากลสีหาบลักบาปลักบาม<br />สร้างปาณาหาผิดตีหิดตีหอย บาปเล็กน้อยมีทั่วไหลขั้วไหลขาม<br />ไม่เบาถ้อยน้อยเล็กหลอเด็ก หลอดาม ลงมองตามบูรทิศเสียงปอคิดปอดัง<br />หรือในโลกพิภพพีหบพีหัก พอถอยหลักมองดูทั่วรีหูรีหัง (รัว)<br />เห็นเด็กน้อยลอยคอไม่ยอดัง เปลือกหนีหังเขียวเหน็จเหมือนเห็ดยี<br />ถึงคีหันวันหนึ่งไม่ถึงตาย นอนปีหายน้ำเชี่ยวรูเหียวขี<br />นั่งดีหูรู้กาลหลานหิ้นปลี ลูกไหยีโบตักดักเต็มตอ<br />อิเห็กหลีแม่เฒ่าไม่เย้าเข็ด มันฆ่าเสร็จภายหลังหวังดีหอ<br />คนใดบาปหาบสีไม่ดียอ เอาดกชอเสียให้ตายอย่าไว้ปราน<br />กูต้องไปช่วยหวยยังสี ใหผึ่งหยีวีหงน่าสงสาร<br />หยิบก้อนดินเข้าก่อเทวอดาน ปฏิหารคลีหิงแล้วทิ้งโยน<br />ลงขวางหน้าพอดีไม่กลีไห ทิ้งลงไปเสียงถนัดชื่อเกาะถัดเกาะโถน<br />ให้ล่ำเด็กหล่อเข้าจอโดน ละลอกโตนยีแหงเข้าแขวงบัง<br />แล้วลีหับกลับที่วิชีไห สำรวมใจอินทรีย์ไม่มีหัง<br />เดียวจีหึงถึงหาดคลื่นสาดดัง ขึ้นกระทั้งเกาะถิ่นฟักหินกี<br />กำลังหิวลิ่วลอยลูกขอยหมอง เห็นสุกพองเอื้อมปลิดจุกหิดหนี<br />ล้วนผลาหากินเก็บหินจี หอยทะยีกลีเหือเนื้อข้าวปลา<br />บริโครโหกชีไม่ขีหาด เหมือนปีศาจจีหาวเฝ้ารักษา<br />อยู่เกาะถิ่นกินหลับสับ ปอดาห์ เรือไหนมาถีหามจะข้ามไป<br />ยกเห็กหลีหยีหับคิดกลับหลัง พอถึงวังกรุงศรีบุรีไห<br />เห็นโบตักถักบอกกำขอกไท เข้าพิไรกอดองค์ให้ดงลอ<br />ว่าหาวคีหลานข้าข้ามหาหมี ห้วยยาวรีน้ำเชี่ยวหัวเดียวขอ<br />แพก็แหกแตกพราวเป็นดาวยอ ลงลอยคอว่ายดำรูหำดี<br />ถูกน้ำเชี่ยวเหียวหนีไม่สีเหือก ฉันกลิ้งเกลือกสุดแรงจนแหงหวี<br />หาไม่พบหลบหน้าพาหามี พระเดชพี่มองเห็นเด็นหรือออ<br />ท้าวบีเหงือเหลือเมียมาเสียหลาน นั่งต่อด้านทำฤทธิ์หัวดิดฝอ<br />บอกหิ้นปลีลูกเขยพาเดยลอ เด็กไม่ซอตามกันพาหันดี<br />เดินริมฝั่งหังยีไม่หมีเห็น จำปอเด็นตามเฝ้าหาวลูกสี<br />ถ้าสีหวนจวนศพเอาหบกี พร้อมไหหยีโบตักเที่ยวดักรอ<br />ถึงเวลาสายัณห์หันดังหวี ชวนเห็กหลีกลับไปเถอะใดหยอ<br />ไม่พีหบหลบกันดันทุกออ ดังกลับรอฟังข่าวอยู่อ่าวใด<br />พอเย็นย่ำค่ำดีจะคลีหำ ชวนงามขำเห็กหลีเข้าสีไห<br />(ต้นฉบับนี้มีเพียงเท่านี้)<br /> สรรพลี้หวนควรอ่านตามบ้านร้าง หนำหรือห้างคลองทะเลนอกเคหา<br />จะดีร้ายปลายคำเป็นธรรมดา บอกภาษานิทานอ่านอย่าแปล<br />เหมือนแบบเก่าเอาชื่อถือเป็นหลัก ถึงที่รักก็ให้เฉยอย่าเผยแผ่<br />ให้อภัยบ่าวสาวหนุ่มเฒ่าแก่ ผึ่งขึ้นแลหยิบอ่านสำราญเอย<br /> สรรพลี้หวนควรอ่านตามบ้านพัก หลังงานหนักเหน็ดเหนื่อยเมื่อยสมอง<br />เป็นเรื่องสนุกทุกท่านเชิญอ่านลอง บทร้อยกรองกลเม็ดเด็ดนักแล<br />นั่งคนเดียวในรถ-เรือเพื่อโดยสาร อย่าพึงอ่านคนจะว่าท่านบ้าแน่<br />ค่อยค่อยอ่านค่อยค่อยคิดค่อยค่อยแปล แล้วพึงแผ่ส่วนกุศลนักแต่งเอยเอย</span>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-76882822076061810422009-08-28T00:18:00.003+07:002009-08-28T00:21:48.870+07:00<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhBJSJrNPrErkZAaOG9SBQf4aPp8Sx3hj4-z0BMFzfsku6O4Ndl0mGjtfbRyQHHlfnhRloGxk1XzTz1jsxWDVrtSG3zg4Udrq350wWj6LhCiuB5Gtas-PF7dofnlKV9m4z6gSS2Nc0PU4/s1600-h/IMG_1381.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374694580842810178" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 292px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhBJSJrNPrErkZAaOG9SBQf4aPp8Sx3hj4-z0BMFzfsku6O4Ndl0mGjtfbRyQHHlfnhRloGxk1XzTz1jsxWDVrtSG3zg4Udrq350wWj6LhCiuB5Gtas-PF7dofnlKV9m4z6gSS2Nc0PU4/s200/IMG_1381.jpg" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3o7Fb-5NBy7v_tW1tcWqTWD831kx26BT2uj2vSWl_1pbmNjgFdM8lw1wWLgjmEGjk9ttPFDicLjJ0iOeAmiHeVtb2C7OEF5gLKu7clLdqw9rZeIDfNDgzkJg5J4gptgYMyJiLqWer3EU/s1600-h/IMG_1380.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374694573009941650" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 256px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3o7Fb-5NBy7v_tW1tcWqTWD831kx26BT2uj2vSWl_1pbmNjgFdM8lw1wWLgjmEGjk9ttPFDicLjJ0iOeAmiHeVtb2C7OEF5gLKu7clLdqw9rZeIDfNDgzkJg5J4gptgYMyJiLqWer3EU/s200/IMG_1380.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><a href="http://pragood.blogspot.com/2008/11/blog-post_1769.html">หลวงพ่อช่วย วัดกอบแกบ รุ่นแรก</a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiHtnEuRy7TdgK5-dobq8HJFEg3WafEQ20tXInaIfdT23lb7RORiO5cLcmIp8PkCL4q40vLHXztbdmMHNwlLUiz8DS9qjmfia96DsL4q3PteIc541Ugj2RkWEfza3YOp4POzavVQ2nc_6sA/s1600-h/IMG_1380.jpg"></a><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEijnzOuJ8eDORVXLSLeZQ3aocVfyA-fT8gHW2uE2jp9CkABRIh_DeHLHjdU7sMPNkuF76Pw9bkiCrgPjgoOXgR2RrS5JyoXPnHxwPxgVrX4bysorukITXuuGkY30ORnAiJjVTmsVMvd7iGz/s1600-h/IMG_1381.jpg"></a></div></div>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-55230906101337238772009-08-27T23:40:00.002+07:002009-08-27T23:47:51.524+07:00<div><br /><br /><div><br /><span style="color:#ff0000;">นกนอน (ทางใต้)</span> แล้วที่อื่นมีหรือเปล่าครับ และเรียกว่าต้นอะไรครับ<br />ใบนกนอน จะสลับซ้ายขวาค่อนข้างหนาแน่น มีดอกตามข้อใบ <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFITkLVadRFv8gBpKu6wOVb-gb_jRWN2GXamtEN8Cg1BKGODlpFJGX36vp9WnkmoGLn41ppQOpYLDsUrgvbOnSU5-yEA-1u1NqhtLxSOvkQlWKjo8iDmTocxnmSE413I-ysGf9CIPxkuc/s1600-h/4170-20090810083258.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374685654652324594" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 199px; CURSOR: hand; HEIGHT: 184px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFITkLVadRFv8gBpKu6wOVb-gb_jRWN2GXamtEN8Cg1BKGODlpFJGX36vp9WnkmoGLn41ppQOpYLDsUrgvbOnSU5-yEA-1u1NqhtLxSOvkQlWKjo8iDmTocxnmSE413I-ysGf9CIPxkuc/s200/4170-20090810083258.jpg" border="0" /></a>และติดผลเป็นสีชมภูเข้ม ขึ้นตามดินลูกรัง หรือดินเหนียว ทนต่อสภาพอากาศแห้งแล้วได้ดี<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdf_Z-ud_aQgSlg3x5U2nH3alRZa3325J3K868UwuLbJwBUt171dRI_jJvNmdy-ol5M1zA6CtAUBBKJSqTeSgQ-4cITaIACGCC-jct9teNuOcIwU_4Q1JlcS3nyKwEA2N1zzIFOAqCwB0/s1600-h/4170.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374685659663389442" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 189px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdf_Z-ud_aQgSlg3x5U2nH3alRZa3325J3K868UwuLbJwBUt171dRI_jJvNmdy-ol5M1zA6CtAUBBKJSqTeSgQ-4cITaIACGCC-jct9teNuOcIwU_4Q1JlcS3nyKwEA2N1zzIFOAqCwB0/s200/4170.jpg" border="0" /></a></div></div>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-48430421686515740052009-08-27T11:28:00.001+07:002009-08-27T11:31:10.648+07:00ปลาเม็งปลาเม็ง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายปลาดุก แต่ตัวเล็กกว่า เป็นปลาน้ำจืดท้องถิ่นท้องถิ่น ของอำเภอบ้านนาสารและอำเภอเคียนซาซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติและสามารถเพาะเลี้ยงได้ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด<br /><br />เป็นเมนูอาหารขึ้นชื่อของอำเภอบ้านนาสารคือ ปลาเม็งยำ ถ้าใครมาอำเภอบ้านนาสารแล้วไม่ได้รับประทานปลาเม็งยำ ถือว่ายังมาไม่ถึงอำเภอบ้านนาสารrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-1397751937504043992009-08-27T01:20:00.002+07:002009-08-28T00:59:02.266+07:00ตัวตลก หนังตะลุง<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFTLC-C6yRVD0ISIX2eomPDYUUO2wneb5CmM8C84XsV4JFcLBOaj3Z0xx968UupP3g0l-Ork-Wv9lzKWNZFomhcZYdkFW1IWX-3KC2EFyHOHxnjwqZ5pz8heHXm2cZBHKMkurTpvy1J-c/s1600-h/poon.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374704227617066274" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 88px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFTLC-C6yRVD0ISIX2eomPDYUUO2wneb5CmM8C84XsV4JFcLBOaj3Z0xx968UupP3g0l-Ork-Wv9lzKWNZFomhcZYdkFW1IWX-3KC2EFyHOHxnjwqZ5pz8heHXm2cZBHKMkurTpvy1J-c/s200/poon.jpg" border="0" /></a><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBCtaCThqbcFbsD7ihsmTGnKOqyjlXDrMxxfTmknA94yAYqODVweOKjCxUBgNQ3qRJbDiYWs36bu3aGnFXCleoLho2AvPWLMuhE4CjM7fw4QkQ69LJ1igNn0fro1jJBdbGBiCD0xW2Yds/s1600-h/yodtong.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374704209610016098" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 158px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjBCtaCThqbcFbsD7ihsmTGnKOqyjlXDrMxxfTmknA94yAYqODVweOKjCxUBgNQ3qRJbDiYWs36bu3aGnFXCleoLho2AvPWLMuhE4CjM7fw4QkQ69LJ1igNn0fro1jJBdbGBiCD0xW2Yds/s200/yodtong.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiq59Gitqkd3Tq4c3SyhE1rIjrNYtgRDJo-VC7ZzN3bk3az3J8WvIh7TzzxeIzTFdRgVKa3_QEaVXUF8OPGpFsiy-0BUVEf4OeoyCLLlUQULy4IHZs11n7VpgxaFN7PwAM1uhQWldNOYIw/s1600-h/seekaew.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374704216274138098" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 142px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiq59Gitqkd3Tq4c3SyhE1rIjrNYtgRDJo-VC7ZzN3bk3az3J8WvIh7TzzxeIzTFdRgVKa3_QEaVXUF8OPGpFsiy-0BUVEf4OeoyCLLlUQULy4IHZs11n7VpgxaFN7PwAM1uhQWldNOYIw/s200/seekaew.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgT52CqaJbKks5_4yeqmkxfEvYLO3GunQkMyxKVogxK9O_bC6KrkiFtBlmlqBNtMKHgnkEmtjZOyOf9P-oUaZYuRuxBQDaZe6rYnCSxj5ni-jMlCYeqr5-dk71Hf4UzVIGpo8wcreAdb9M/s1600-h/tang.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374704202952232050" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 154px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgT52CqaJbKks5_4yeqmkxfEvYLO3GunQkMyxKVogxK9O_bC6KrkiFtBlmlqBNtMKHgnkEmtjZOyOf9P-oUaZYuRuxBQDaZe6rYnCSxj5ni-jMlCYeqr5-dk71Hf4UzVIGpo8wcreAdb9M/s200/tang.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglS1-sQVPv9xnNI_X1x6WjSex5donBdCh9pvQethlF7EOd-rp4QYBmG-2IR7iMxmw8myK67ZtmTxY3u2WfDChht7vMC4QvYfw9LADmKXtV5zXQQmKqxhWebxvPKZEt0jD63TJIMmy1H8M/s1600-h/kwanmuang.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374704195977572434" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 122px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEglS1-sQVPv9xnNI_X1x6WjSex5donBdCh9pvQethlF7EOd-rp4QYBmG-2IR7iMxmw8myK67ZtmTxY3u2WfDChht7vMC4QvYfw9LADmKXtV5zXQQmKqxhWebxvPKZEt0jD63TJIMmy1H8M/s200/kwanmuang.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><div>ตัวตลก หรือ รูปกาก มีความสำคัญในการแสดงหนังตะลุงมาก สามารถตรึงคนดูได้มีความผูกพันกับชีวิตของชาวบ้านมากกว่าตัวละครอื่นๆ หนังคณะหนึ่งๆ มีตัวตลกไม่น้อยกว่า 10 ตัวขึ้นไป พูดภาษาถิ่นใต้ การแต่งกายมักเปลือยท่อนบน หน้าตาจะผิดเพี้ยนจากคนจริงไปบ้าง แต่ละตัวมีเสียงพูดหรือสำเนียงโดยเฉพาะ ตัวตลกเอก นิยมนำหนังตีนของอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ มาทำเป็นริมฝีปากล่าง เพื่อให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ปิดทองทั้งตัว ขนาดเชือกชักปากทำด้วยทองแบบสร้อยคอก็มี ตัวตลกมีเป็นจำนวนมาก เฉพาะตัวที่สำคัญมีดังนี้<br />1.อ้ายเท่ง เอาเค้ามาจากชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อเท่ง อยู่บ้านคูขุด อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา หนังจวนบ้านคูขุดนำมาตัดรูปตลกเป็นครั้งแรก หนังคณะอื่นๆ นำไปเลียนแบบ รูปร่างผอมบางสูง ท่อนบนยาวกว่าท่อนล่าง ผิวดำ ปากกว้าง หัวเถิก ผมงอหยิก ใบหน้าคล้ายนกกระฮัง นิ้วมือขวายาวโตคล้ายอวัยวะเพศผู้ชาย นิ้งชี้กับหัวแม่มือซ้ายงอหยิกเป็นวงเข้าหากัน นุ่งผ้าโสร่งลายตาหมากรุก คาดพุงด้วยผ้าขะม้า ไม่สวมเสื้อ ที่สะเอวเหน็บมีดอ้ายครก (มีดปลายแหลมด้านงอโค้งมีฝัก) ชอบพูดจาโผงผาง ไม่เกรงใจใคร ขู่สำทับผู้อื่น ล้อเลียนเก่ง เป็นคู่หูกับอ้ายหนูนุ้ย<br />2.อ้ายหนูนุ้ย นำเค้ามาจากคนซื่อๆ แกมโง่ ผิวดำ รูปร่างค่อนข้างเตี้ย พุงยานโย้คอตก ทรงผมคล้ายแส้ม้า จมูกปากยื่นออกไป คล้ายกับปากวัว มีเครายาวคล้ายหนวดแพะ ใครพูดเรื่องวัวเป็นไม่พอใจ นุ่งผ้าโสร่งแต่ไม่มีลวดลาย ไม่สวมเสื้อ ถือมีดตะไกรหนีบหมากเป็นอาวุธ พูดเสียงต่ำสั่นเครือดันขึ้นนาสิก ชอบคล้อยตามคนยุยงส่งเสริม แสดงความซื่อออกมาเสมอ<br />4.นายสีแก้ว เชื่อกันว่าเอาเค้ามาจากคนที่ชื่อสีแก้วจริงๆ เป็นคนมีตะบะ มือหนักโกรธใครตบด้วยมือหรือชนด้วยศรีษะ เป็นคนพูดจริง ทำจริง สู้คน ชอบอาสาเจ้านายด้วยจริงใจ ตักเตือนผู้อื่นให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามทำนองคลองธรรม รูปร่างอ้วนเตี้ย ผิวคล้ำ มีโหนกคอ ศรีษะล้าน นุ่งผ้าโจงกระเบนลายตาหมากรุก ไม่สวมเสื้อ ไม่ถืออาวุธใดๆ ใครพูดล้อเลียนเกี่ยวกับเรื่องพระ เรื่องร้อน เรื่องจำนวนเงินมากๆ จะโกรธทันที พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อนคู่หูคือนายยอดทอง<br />3.นายยอดทอง เชื่อกันว่าเป็นชื่อคนจริงชาวจังหวัดพัทลุง รูปร่างอ้วน ผิวดำ พุงย้อยก้นงอนขึ้นบนผมหยิกเป็นลอน จมูกยื่น ปากบุ๋ม เหมือนปากคนแก่ไม่มีฟัน หน้าเป็นแผลจนลายคล้ายหน้าจระเข้ โครพูดถึงเรื่องจระเข้ไม่พอใจ นุ่งผ้าลายโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ เหน็บกริชเป็นอาวุธประจำกาย เป็นคนเจ้าชู้ ปากพูดจาโอ้อวด ใจเสาะ ขี้ขลาด ชอบขู่หลอก พูดจาเหลวไหล ยกย่องตนเอง บ้ายอ ชอบอยู่กับนายสาว ที่มีสำนวนชาวบ้านว่า "ยอดทองบ้านาย" นายยอดทอง แสดงคู่กับตัวตลกอื่นๆ ได้หลายตัว เช่น คู่กับอ้ายหลำ คู่กับอ้ายขวัญเมือง คู่กับอ้ายพูนแก้ว คู่กับอ้ายดำบ้า คู่กับอ้ายลูกหมี คู่กับอ้ายเสมียน เป็นต้น<br />6.อ้ายขวัญเมือง ไม่มีประวัติความเป็นมา เป็นตัวตลกเอกของหนังจันทร์แก้ว จังหวัดนครศรีธรรมราช คนในถิ่นนั้น เขาไม่เรียกว่าอ้ายเมือง แต่เรียกว่า "ลุงขวัญเมือง" แสดงว่าได้รับการยกย่องจากคนในท้องถิ่นอย่างสูงเหมือนกับเป็นคนสำคัญผู้หนึ่ง ใบหน้าของขวัญเมืองคล้ายแพะ ผมบางหยิกเล็กน้อย ผิวดำ หัวเถิก จมูกโด่งโตยาว ปากกว้าง พุงยานโย้ ก้นเชิด ปลายนิ้งชี้คล้ายนิ้วมืออ้ายเท่ง นุ่งผ้าพื้นดำ คาดเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ เป็นคนซื่อ บางครั้งแฝงไว้ซึ่งความฉลาด ชอบสงสัยเรื่องของผู้อื่น พูดจาเสียงหวาน หนังจังหวัดสงขลาแสดงคู่กับอ้ายสะหม้อ หนังจังหวัดนครศรีธรรมราชแถวอำเภอเชียรใหญ่ หัวไทร ปากพนัง ท่าศาลา ให้แสดงคู่กับนายยอดทอง หนังพัทลุง ตรัง นิยมให้เป็นตัวบอกเรื่อง เฝ้าประตูเมือง ออกตีฆ้องร้องป่าว<br />5.อ้ายสะหม้อ หนังกั้น ทองหล่อ นำมาจากคนจริง โดยได้รับอนุญาตจากชาวอิสลามชื่อสะหม้อ อยู่บ้านสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา หนังตะลุงอื่นๆ ที่นำไปเลียนแบบ พูดกินรูปสู้หนังกั้น ทองหล่อไม่ได้ รูปร่างอ้ายสะหม้อ หลังโกง มีโหนกคอ คางย้อย ลงพุง รูปร่างเตี้ย สวมหมวกแขก นุ่งผ้าโสร่ง ไม่สวมเสื้อ พูดล้อเลียนผู้อื่นได้เก่ง ค่อนข้างอวดดี นับถือศาสนาอิสลามแต่ชอบกินหมู ชอบดื่มเหล้า พูดสำเนียงเนิบนาบ รัวปลายลิ้น<br />7.อ้ายดิก เลียนแบบรูปเป็ด ริมฝีปากยาว พูดจากไม่ชัด พุงโย้ ก้นเชิดสูง นุ่งผ้าโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อมือซ้ายถือกระจ่า ชอบยอ เป็นตัวตลกประกอบ มักเป็นเพื่อนคู่หูกับอ้ายปราบ<br />8.อ้ายปราบ เลียนแบบจากคนที่จมูกเป็นริดสีดวง จนจมูกยุบ ชอบกินแกงปลาไหล แกงปลาหมอ แกงตะพาบน้ำ ล้วนแสลงโรคริดสีดวงจมูกทั้งสิ้น ใครพูดจาเสียงอู้อี้เป็นโกรธทันที รูปร่างผอม นุ่งกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ ตัดผมสั้นหวีแสกกลาง มือหนึ่งถือหวี มือหนึ่งถือกระจก เป็นคนชอบแต่งตัวหวีผมบ่อยๆ แม้เวลารบกัน ขอพักรบหวีผมให้เรียบร้อยก่อน ไม่เป็นคนเจ้าชู้ สนใจตัวเองมากกว่าผู้หญิง เป็นตัวตลกประกอบ<br />9.อ้ายเสมียน เลียนแบบจากมโนห์รา ชอบรำ และร้องบทกลอนมโนห์รา ตัวอ่อนช้อยตัดต่อถึง 3 ท่อน ไม้ตับติดทแยงที่ศรีษะ ติดที่เท้า เอียงตัวไปมาข้างหน้าข้างหลังได้ เวลาเข้าที่คับขัน ปลอมตัวเป็นจอมปลวกเล็กๆ ฝ่ายศัตรูเข้าใจว่าเป็นจอมปลวก ก็เดินผ่านเลยไป บางครั้งปลอมตัวเป็นยายแก่ ตบตาผู้อื่น เอาชนะฝ่ายศัตรูด้วยกลอุบาย เอาตัวรอดได้เสมอ เป็นตัวตลกเอกของหนังหนูจุล จังหวัดนครศรีธรรมราช หนังหนูจุลถึงแก่กรรมไปแล้ว มีผู้นำไปเลียนแบบอยู่บ้าง<br />10.อ้ายหลำ เป็นตัวตลกเอกของ หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล ยอดหนังตะลุงของภาคใต้ แสดงหนังมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หนังพร้อมน้อยเล่าให้ฟังว่า เมื่อเขาอายุได้ 15 ปี ได้ไปแสดงหนังตะลุงที่บ้านแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เห็นหมาตัวหนึ่งคาบหนังวัวแห้งมา เข้าใจว่าเป็นรูปหนัง จึงให้ลูกคู่ช่วยกันไล่ตามหมาตัวนั้น และเอาหนังแห้งที่หมาคาบมาได้ หนังพร้อมเห็นมารูปร่างแปลก นำมาให้ช่างรูปหนังช่วยตัดส่วนที่เว้าแหว่ง ที่เกิดจากรอยหมากัดออก ทำเป็นรูปตลก ตั้งชื่อว่า "อ้ายหลำ" มีรูปร่างแปลก หัวเล็ก ลำตัวใหญ่ ไหล่ผึ่ง ตะโพกใหญ่ แต่งตัวทันสมัย สวมเสื้อมือยาว ผูกเนคไท นุ่งกางเกงขายาว สวมรองเท้า ชอบพูดจากหยาบโลน เสียดสีสังคม แผ่ความจริง ชอบเล่านิทานสัปดลมีนิทานประเภทนี้เป็น 100 เรื่อง ถ้าเกิดเล่นนิทานขึ้นมาแล้ว โดยนายยอดทองคู่หูเป็นผู้ซักถาม เล่าติดต่อกัน 4-5 เรื่อง กินเวลาเป็นชั่วโมง สติปัญญาหลักแหลม ไม่กลัวใคร แต่ไม่ชอบรังแกผู้อื่น อ้ายหลำกลายเป็นสัญลักษณ์ของร้านอาหาร ปั๊มน้ำมันที่หนังพร้อมน้อยเป็นเจ้าของเอง ปั้นรูปขนาดครึ่งคนจริงไว้หน้าร้าน อ้ายหลำชอบพูดจาเสียดสีคนใบ้หวยเบอร์ ตัวเองก็บอกเลข 3 ตัวไปด้วย คงโดยบังเอิญ มีคนซื้อเบอร์ถูกกันมากหลายครั้ง อ้ายหลำกลายเป็นรูปศักดิ์สิทธิ์ไปเข้าฝัน บอกเบอร์ และถูกด้วย จึงเป็นที่นับถือของผู้คนไป เวลาตลกอ้ายหลำไม่กล้าบอกเบอร์อีก กลัวเสื่อม<br />11.ผู้ใหญ่พูน น่าจะเลียนแบบมาจากผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ จมูกยาวคล้ายตะขอเกี่ยวมะพร้าว ศรีษะล้าน มีผมเป็นกระจุกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางกลวงอยู่ กลางพุงโย้ย้อยยาน ตะโพกใหญ่ขวิดขึ้นบน เพื่อนมักจะล้อเลียนว่า บนหัวติดงวงถังตักน้ำ สันหลังเหมือนเขาพักผ้า (อยู่ระหว่างพัทลุง-ตรัง) นุ่งผ้าโจงกระเบน ไม่มีลวดลาย ชอบยุยง โม้โอ้อวด เห่อยศ ขู่ตะคอผู้อื่นให้เกรงกลัว ธาติแท้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ชอบแสแสร้งปั้นเรื่องฟ้องเจ้านาย ส่วนมากเป็นคนรับใช้อยู่เมืองยักษ์หรือกับฝ่ายโกง พูดช้าๆ หนีบจมูก เป็นตัวตลกประกอบ<br />12.อ้ายโถ เอาเค้ามาจากจีนบ๋าบา ชาวพังบัว อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา รูปร่าง มีศรีษะค่อนข้างเล็ก ตาโตถลน ปากกว้าง ริมฝีปากล่างเม้มเข้าใน ส่วนท้องตึง อกใหญ่เป็นรูปโค้ง สวมหมวกมีกระจุกข้างบน นุ่งกางเกงถลกขา ถือมีดบังตอเป็นอาวุธ ชอบร้องรำทำเพลง ขี้ขลาดตาขาว โกรธใครไม่เป็น ถือเอาเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ใครจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม อ้ายโถจะชักเรื่องที่พูดวกเข้าหาเรื่องกินเสมอ เป็นตัวตลกประกอบ<br />13.อ้ายดำบ้า เลียนแบบมาจากคนชื่อดำเป็นชาวจังหวัดพัทลุง เป็นตัวตลกเอกของหนังเขียวฟ้าโห่ รูปร่างสูง ผิวดำ หัวล้าน จมูกยาว ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าโจงกระเบน ชอบพูดยั่วคนอื่น<br />14.อ้ายจีนจ้ง เอาเค้ามาจากคนจีนที่มาอยู่เมืองไทย หน้าตาเหมือนคนจีน ทรงผมสูงไว้เป็นยางห้อยไปข้างหลัง สวมเสื้อหม้อฮ่อม นุ่งกางเกงแบบชาวจีน อาชีพ ขายเป็ด ขายไก่ พูดสำเนียงไม่ชัด เช่น เป็ดเป็นเป็ก เย็บเป็นเย็ก เมืองเป็นโมง หมดเป็นหมก จากที่พูดสำเนียงไทยไม่ชัดนี่เอง ทำให้เข้าใจไปว่ากำลังพูดอีกเรื่องหนึ่ง<br />15.อ้ายท้องช้าง รูปร่างสูงใหญ่ โกรธใครมักเหยียบด้วยเท้า เวลาเดิน มีอาการคล้ายช้างเดิน สวมเสื้อแขนสั้น ติดกระดุมเม็ดใหญ่ นุ่งกางเกงขายาวรูปทรงขากางเกงเหมือนเท้าช้างมือหลังเท้าสะเอว เป็นคนหัวโบราณ ชอบพูดภาษาถิ่นที่ชาวใต้ไม่ค่อยพูดกันแล้ว เช่น พระอภัยโมนี (พระอภัยมณี) เหินมาน (หนุมาน) ท้อหาร (ทหาร) โขเข (มาก) เป็นต้น ใครพูดเรื่องช้างเป็นโกรธทุกที คู่หูกับอ้ายขวด ตัวเล็กมาก ล้อเลียนอ้ายท้องช้างเสมอๆ เป็นตัวตลกประกอบหนังผลบ้านหนักขัน อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ตลกอ้ายทองช้างกับอ้ายขวดกินรูปมาก<br />16.อ้ายแข้ง รูปร่างเล็กเตี้ย จมูกเชิด หัวล้านหน้าผากยื่น พูดจากไม่ชัดถ้อยชัดคำ ดุมากชอบต่อสู้กับคนที่ใหญ่กว่า แต่แพ้น้องชายชื่ออ้ายข้ง ตัวเล็กกว่าอ้ายแข้ง พูดไม่ชัดเหมือนกัน ดุมาก พบใครถ้าไม่พอใจ หาเรื่องท้ารบทันที การรบทุกครั้ง ทั้ง 2 คนพี่น้องไม่เคยถอย เป็นตัวตลกประกอบ หนังเขียวฟ้าโห่ตลก 2 ตัวนี้ได้ดีมาก<br />17.อ้ายดุเหว่า เสียงดังแหลม ใบหน้าแหลมคล้ายหัวปลาสลด ไว้ผมเปีย รูปร่งผอมเล็ก ไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงขายาว กระดิกขาหน้าได้ ถือขวานเป็นอาวุธ พูดกะล่อน ฉลาดแกมโกง เป็นเพื่อนคู่หูกับอ้ายวรนุช เป็นตัวตลกเอกของ หนังจุเลี่ยม กิ่งทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศิลปินแห่งชาติ<br />18.อ้ายแก้วกบ อ้ายลูกหมีก็เรียก เป็นตัวตลกเอกของหนังจังหวัดนครศรีธรรมราช รูปร่างอ้วน ปากกว้างคล้ายกบ ชอบสนุกสนาน พูดจากไม่ชัด หัวเราะเก่ง ชอบพูดคำศัพท์ที่ผิดๆ เช่น อาเจียนมะขาม (รากมะขาม) ข้าวหนาว (ข้าวเย็น) ชอบร้องบทกลอน แต่ขาดสัมผัส เพื่อคู่หูคือนายยอดทอง<br />นอกจากที่นำมาเสนอไว้ ยังมีตัวตลกอีกหลายตัว เช่น ครูฉิม ครูฉุย สิบค้างคูด อีโร้ง อ้ายทองทิง อ้ายบองหลา อ้ายท่าน้ำตก เผียก อ้ายโหนด ตัวตลกฝ่ายหญิงก็มีหลายตัว เช่น อีหนูเตร็ด อีหนูเน่า หนังแต่ละคณะ มีตลกเอกไม่เกิน 6 ตัว เข้ากับเสียงและนิสัยของนายหนัง นอกนั้งเป็นตัวตลกประกอบ ทุกตัวต้องเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ ตัวตลกเอกเรียกเสียงหัวเราะได้มากและแสดงตลอดเรื่อง</div></div></div></div></div>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-80679481836498900082009-08-27T01:20:00.000+07:002009-08-27T01:56:59.312+07:00ตัวตลก หนังตลุงตัวตลก หรือ รูปกาก มีความสำคัญในการแสดงหนังตะลุงมาก สามารถตรึงคนดูได้มีความผูกพันกับชีวิตของชาวบ้านมากกว่าตัวละครอื่นๆ หนังคณะหนึ่งๆ มีตัวตลกไม่น้อยกว่า 10 ตัวขึ้นไป พูดภาษาถิ่นใต้ การแต่งกายมักเปลือยท่อนบน หน้าตาจะผิดเพี้ยนจากคนจริงไปบ้าง แต่ละตัวมีเสียงพูดหรือสำเนียงโดยเฉพาะ ตัวตลกเอก นิยมนำหนังตีนของอาจารย์ที่ตนเคารพนับถือ มาทำเป็นริมฝีปากล่าง เพื่อให้เกิดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ปิดทองทั้งตัว ขนาดเชือกชักปากทำด้วยทองแบบสร้อยคอก็มี ตัวตลกมีเป็นจำนวนมาก เฉพาะตัวที่สำคัญมีดังนี้<br /> 1.อ้ายเท่ง เอาเค้ามาจากชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อเท่ง อยู่บ้านคูขุด อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา หนังจวนบ้านคูขุดนำมาตัดรูปตลกเป็นครั้งแรก หนังคณะอื่นๆ นำไปเลียนแบบ รูปร่างผอมบางสูง ท่อนบนยาวกว่าท่อนล่าง ผิวดำ ปากกว้าง หัวเถิก ผมงอหยิก ใบหน้าคล้ายนกกระฮัง นิ้วมือขวายาวโตคล้ายอวัยวะเพศผู้ชาย นิ้งชี้กับหัวแม่มือซ้ายงอหยิกเป็นวงเข้าหากัน นุ่งผ้าโสร่งลายตาหมากรุก คาดพุงด้วยผ้าขะม้า ไม่สวมเสื้อ ที่สะเอวเหน็บมีดอ้ายครก (มีดปลายแหลมด้านงอโค้งมีฝัก) ชอบพูดจาโผงผาง ไม่เกรงใจใคร ขู่สำทับผู้อื่น ล้อเลียนเก่ง เป็นคู่หูกับอ้ายหนูนุ้ย<br /> 2.อ้ายหนูนุ้ย นำเค้ามาจากคนซื่อๆ แกมโง่ ผิวดำ รูปร่างค่อนข้างเตี้ย พุงยานโย้คอตก ทรงผมคล้ายแส้ม้า จมูกปากยื่นออกไป คล้ายกับปากวัว มีเครายาวคล้ายหนวดแพะ ใครพูดเรื่องวัวเป็นไม่พอใจ นุ่งผ้าโสร่งแต่ไม่มีลวดลาย ไม่สวมเสื้อ ถือมีดตะไกรหนีบหมากเป็นอาวุธ พูดเสียงต่ำสั่นเครือดันขึ้นนาสิก ชอบคล้อยตามคนยุยงส่งเสริม แสดงความซื่อออกมาเสมอ<br /> 4.นายสีแก้ว เชื่อกันว่าเอาเค้ามาจากคนที่ชื่อสีแก้วจริงๆ เป็นคนมีตะบะ มือหนักโกรธใครตบด้วยมือหรือชนด้วยศรีษะ เป็นคนพูดจริง ทำจริง สู้คน ชอบอาสาเจ้านายด้วยจริงใจ ตักเตือนผู้อื่นให้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามทำนองคลองธรรม รูปร่างอ้วนเตี้ย ผิวคล้ำ มีโหนกคอ ศรีษะล้าน นุ่งผ้าโจงกระเบนลายตาหมากรุก ไม่สวมเสื้อ ไม่ถืออาวุธใดๆ ใครพูดล้อเลียนเกี่ยวกับเรื่องพระ เรื่องร้อน เรื่องจำนวนเงินมากๆ จะโกรธทันที พูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ เพื่อนคู่หูคือนายยอดทอง<br /> 3.นายยอดทอง เชื่อกันว่าเป็นชื่อคนจริงชาวจังหวัดพัทลุง รูปร่างอ้วน ผิวดำ พุงย้อยก้นงอนขึ้นบนผมหยิกเป็นลอน จมูกยื่น ปากบุ๋ม เหมือนปากคนแก่ไม่มีฟัน หน้าเป็นแผลจนลายคล้ายหน้าจระเข้ โครพูดถึงเรื่องจระเข้ไม่พอใจ นุ่งผ้าลายโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ เหน็บกริชเป็นอาวุธประจำกาย เป็นคนเจ้าชู้ ปากพูดจาโอ้อวด ใจเสาะ ขี้ขลาด ชอบขู่หลอก พูดจาเหลวไหล ยกย่องตนเอง บ้ายอ ชอบอยู่กับนายสาว ที่มีสำนวนชาวบ้านว่า "ยอดทองบ้านาย" นายยอดทอง แสดงคู่กับตัวตลกอื่นๆ ได้หลายตัว เช่น คู่กับอ้ายหลำ คู่กับอ้ายขวัญเมือง คู่กับอ้ายพูนแก้ว คู่กับอ้ายดำบ้า คู่กับอ้ายลูกหมี คู่กับอ้ายเสมียน เป็นต้น<br /> 6.อ้ายขวัญเมือง ไม่มีประวัติความเป็นมา เป็นตัวตลกเอกของหนังจันทร์แก้ว จังหวัดนครศรีธรรมราช คนในถิ่นนั้น เขาไม่เรียกว่าอ้ายเมือง แต่เรียกว่า "ลุงขวัญเมือง" แสดงว่าได้รับการยกย่องจากคนในท้องถิ่นอย่างสูงเหมือนกับเป็นคนสำคัญผู้หนึ่ง ใบหน้าของขวัญเมืองคล้ายแพะ ผมบางหยิกเล็กน้อย ผิวดำ หัวเถิก จมูกโด่งโตยาว ปากกว้าง พุงยานโย้ ก้นเชิด ปลายนิ้งชี้คล้ายนิ้วมืออ้ายเท่ง นุ่งผ้าพื้นดำ คาดเข็มขัด ไม่สวมเสื้อ เป็นคนซื่อ บางครั้งแฝงไว้ซึ่งความฉลาด ชอบสงสัยเรื่องของผู้อื่น พูดจาเสียงหวาน หนังจังหวัดสงขลาแสดงคู่กับอ้ายสะหม้อ หนังจังหวัดนครศรีธรรมราชแถวอำเภอเชียรใหญ่ หัวไทร ปากพนัง ท่าศาลา ให้แสดงคู่กับนายยอดทอง หนังพัทลุง ตรัง นิยมให้เป็นตัวบอกเรื่อง เฝ้าประตูเมือง ออกตีฆ้องร้องป่าว<br /> 5.อ้ายสะหม้อ หนังกั้น ทองหล่อ นำมาจากคนจริง โดยได้รับอนุญาตจากชาวอิสลามชื่อสะหม้อ อยู่บ้านสะกอม อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา หนังตะลุงอื่นๆ ที่นำไปเลียนแบบ พูดกินรูปสู้หนังกั้น ทองหล่อไม่ได้ รูปร่างอ้ายสะหม้อ หลังโกง มีโหนกคอ คางย้อย ลงพุง รูปร่างเตี้ย สวมหมวกแขก นุ่งผ้าโสร่ง ไม่สวมเสื้อ พูดล้อเลียนผู้อื่นได้เก่ง ค่อนข้างอวดดี นับถือศาสนาอิสลามแต่ชอบกินหมู ชอบดื่มเหล้า พูดสำเนียงเนิบนาบ รัวปลายลิ้น<br /> 7.อ้ายดิก เลียนแบบรูปเป็ด ริมฝีปากยาว พูดจากไม่ชัด พุงโย้ ก้นเชิดสูง นุ่งผ้าโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อมือซ้ายถือกระจ่า ชอบยอ เป็นตัวตลกประกอบ มักเป็นเพื่อนคู่หูกับอ้ายปราบ<br /> 8.อ้ายปราบ เลียนแบบจากคนที่จมูกเป็นริดสีดวง จนจมูกยุบ ชอบกินแกงปลาไหล แกงปลาหมอ แกงตะพาบน้ำ ล้วนแสลงโรคริดสีดวงจมูกทั้งสิ้น ใครพูดจาเสียงอู้อี้เป็นโกรธทันที รูปร่างผอม นุ่งกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ ตัดผมสั้นหวีแสกกลาง มือหนึ่งถือหวี มือหนึ่งถือกระจก เป็นคนชอบแต่งตัวหวีผมบ่อยๆ แม้เวลารบกัน ขอพักรบหวีผมให้เรียบร้อยก่อน ไม่เป็นคนเจ้าชู้ สนใจตัวเองมากกว่าผู้หญิง เป็นตัวตลกประกอบ<br /> 9.อ้ายเสมียน เลียนแบบจากมโนห์รา ชอบรำ และร้องบทกลอนมโนห์รา ตัวอ่อนช้อยตัดต่อถึง 3 ท่อน ไม้ตับติดทแยงที่ศรีษะ ติดที่เท้า เอียงตัวไปมาข้างหน้าข้างหลังได้ เวลาเข้าที่คับขัน ปลอมตัวเป็นจอมปลวกเล็กๆ ฝ่ายศัตรูเข้าใจว่าเป็นจอมปลวก ก็เดินผ่านเลยไป บางครั้งปลอมตัวเป็นยายแก่ ตบตาผู้อื่น เอาชนะฝ่ายศัตรูด้วยกลอุบาย เอาตัวรอดได้เสมอ เป็นตัวตลกเอกของหนังหนูจุล จังหวัดนครศรีธรรมราช หนังหนูจุลถึงแก่กรรมไปแล้ว มีผู้นำไปเลียนแบบอยู่บ้าง<br /> 10.อ้ายหลำ เป็นตัวตลกเอกของ หนังพร้อมน้อย ตะลุงสากล ยอดหนังตะลุงของภาคใต้ แสดงหนังมาตั้งแต่อายุ 14 ปี หนังพร้อมน้อยเล่าให้ฟังว่า เมื่อเขาอายุได้ 15 ปี ได้ไปแสดงหนังตะลุงที่บ้านแหลมโตนด อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง เห็นหมาตัวหนึ่งคาบหนังวัวแห้งมา เข้าใจว่าเป็นรูปหนัง จึงให้ลูกคู่ช่วยกันไล่ตามหมาตัวนั้น และเอาหนังแห้งที่หมาคาบมาได้ หนังพร้อมเห็นมารูปร่างแปลก นำมาให้ช่างรูปหนังช่วยตัดส่วนที่เว้าแหว่ง ที่เกิดจากรอยหมากัดออก ทำเป็นรูปตลก ตั้งชื่อว่า "อ้ายหลำ" มีรูปร่างแปลก หัวเล็ก ลำตัวใหญ่ ไหล่ผึ่ง ตะโพกใหญ่ แต่งตัวทันสมัย สวมเสื้อมือยาว ผูกเนคไท นุ่งกางเกงขายาว สวมรองเท้า ชอบพูดจากหยาบโลน เสียดสีสังคม แผ่ความจริง ชอบเล่านิทานสัปดลมีนิทานประเภทนี้เป็น 100 เรื่อง ถ้าเกิดเล่นนิทานขึ้นมาแล้ว โดยนายยอดทองคู่หูเป็นผู้ซักถาม เล่าติดต่อกัน 4-5 เรื่อง กินเวลาเป็นชั่วโมง สติปัญญาหลักแหลม ไม่กลัวใคร แต่ไม่ชอบรังแกผู้อื่น อ้ายหลำกลายเป็นสัญลักษณ์ของร้านอาหาร ปั๊มน้ำมันที่หนังพร้อมน้อยเป็นเจ้าของเอง ปั้นรูปขนาดครึ่งคนจริงไว้หน้าร้าน อ้ายหลำชอบพูดจาเสียดสีคนใบ้หวยเบอร์ ตัวเองก็บอกเลข 3 ตัวไปด้วย คงโดยบังเอิญ มีคนซื้อเบอร์ถูกกันมากหลายครั้ง อ้ายหลำกลายเป็นรูปศักดิ์สิทธิ์ไปเข้าฝัน บอกเบอร์ และถูกด้วย จึงเป็นที่นับถือของผู้คนไป เวลาตลกอ้ายหลำไม่กล้าบอกเบอร์อีก กลัวเสื่อม<br /> 11.ผู้ใหญ่พูน น่าจะเลียนแบบมาจากผู้ใหญ่คนใดคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ จมูกยาวคล้ายตะขอเกี่ยวมะพร้าว ศรีษะล้าน มีผมเป็นกระจุกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตรงกลางกลวงอยู่ กลางพุงโย้ย้อยยาน ตะโพกใหญ่ขวิดขึ้นบน เพื่อนมักจะล้อเลียนว่า บนหัวติดงวงถังตักน้ำ สันหลังเหมือนเขาพักผ้า (อยู่ระหว่างพัทลุง-ตรัง) นุ่งผ้าโจงกระเบน ไม่มีลวดลาย ชอบยุยง โม้โอ้อวด เห่อยศ ขู่ตะคอผู้อื่นให้เกรงกลัว ธาติแท้เป็นคนขี้ขลาดตาขาว ชอบแสแสร้งปั้นเรื่องฟ้องเจ้านาย ส่วนมากเป็นคนรับใช้อยู่เมืองยักษ์หรือกับฝ่ายโกง พูดช้าๆ หนีบจมูก เป็นตัวตลกประกอบ<br /> 12.อ้ายโถ เอาเค้ามาจากจีนบ๋าบา ชาวพังบัว อำเภอสะทิ้งพระ จังหวัดสงขลา รูปร่าง มีศรีษะค่อนข้างเล็ก ตาโตถลน ปากกว้าง ริมฝีปากล่างเม้มเข้าใน ส่วนท้องตึง อกใหญ่เป็นรูปโค้ง สวมหมวกมีกระจุกข้างบน นุ่งกางเกงถลกขา ถือมีดบังตอเป็นอาวุธ ชอบร้องรำทำเพลง ขี้ขลาดตาขาว โกรธใครไม่เป็น ถือเอาเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ ใครจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม อ้ายโถจะชักเรื่องที่พูดวกเข้าหาเรื่องกินเสมอ เป็นตัวตลกประกอบ<br /> 13.อ้ายดำบ้า เลียนแบบมาจากคนชื่อดำเป็นชาวจังหวัดพัทลุง เป็นตัวตลกเอกของหนังเขียวฟ้าโห่ รูปร่างสูง ผิวดำ หัวล้าน จมูกยาว ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าโจงกระเบน ชอบพูดยั่วคนอื่น<br /> 14.อ้ายจีนจ้ง เอาเค้ามาจากคนจีนที่มาอยู่เมืองไทย หน้าตาเหมือนคนจีน ทรงผมสูงไว้เป็นยางห้อยไปข้างหลัง สวมเสื้อหม้อฮ่อม นุ่งกางเกงแบบชาวจีน อาชีพ ขายเป็ด ขายไก่ พูดสำเนียงไม่ชัด เช่น เป็ดเป็นเป็ก เย็บเป็นเย็ก เมืองเป็นโมง หมดเป็นหมก จากที่พูดสำเนียงไทยไม่ชัดนี่เอง ทำให้เข้าใจไปว่ากำลังพูดอีกเรื่องหนึ่ง<br /> 15.อ้ายท้องช้าง รูปร่างสูงใหญ่ โกรธใครมักเหยียบด้วยเท้า เวลาเดิน มีอาการคล้ายช้างเดิน สวมเสื้อแขนสั้น ติดกระดุมเม็ดใหญ่ นุ่งกางเกงขายาวรูปทรงขากางเกงเหมือนเท้าช้างมือหลังเท้าสะเอว เป็นคนหัวโบราณ ชอบพูดภาษาถิ่นที่ชาวใต้ไม่ค่อยพูดกันแล้ว เช่น พระอภัยโมนี (พระอภัยมณี) เหินมาน (หนุมาน) ท้อหาร (ทหาร) โขเข (มาก) เป็นต้น ใครพูดเรื่องช้างเป็นโกรธทุกที คู่หูกับอ้ายขวด ตัวเล็กมาก ล้อเลียนอ้ายท้องช้างเสมอๆ เป็นตัวตลกประกอบหนังผลบ้านหนักขัน อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง ตลกอ้ายทองช้างกับอ้ายขวดกินรูปมาก<br /> 16.อ้ายแข้ง รูปร่างเล็กเตี้ย จมูกเชิด หัวล้านหน้าผากยื่น พูดจากไม่ชัดถ้อยชัดคำ ดุมากชอบต่อสู้กับคนที่ใหญ่กว่า แต่แพ้น้องชายชื่ออ้ายข้ง ตัวเล็กกว่าอ้ายแข้ง พูดไม่ชัดเหมือนกัน ดุมาก พบใครถ้าไม่พอใจ หาเรื่องท้ารบทันที การรบทุกครั้ง ทั้ง 2 คนพี่น้องไม่เคยถอย เป็นตัวตลกประกอบ หนังเขียวฟ้าโห่ตลก 2 ตัวนี้ได้ดีมาก<br /> 17.อ้ายดุเหว่า เสียงดังแหลม ใบหน้าแหลมคล้ายหัวปลาสลด ไว้ผมเปีย รูปร่งผอมเล็ก ไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงขายาว กระดิกขาหน้าได้ ถือขวานเป็นอาวุธ พูดกะล่อน ฉลาดแกมโกง เป็นเพื่อนคู่หูกับอ้ายวรนุช เป็นตัวตลกเอกของ หนังจุเลี่ยม กิ่งทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ศิลปินแห่งชาติ<br /> 18.อ้ายแก้วกบ อ้ายลูกหมีก็เรียก เป็นตัวตลกเอกของหนังจังหวัดนครศรีธรรมราช รูปร่างอ้วน ปากกว้างคล้ายกบ ชอบสนุกสนาน พูดจากไม่ชัด หัวเราะเก่ง ชอบพูดคำศัพท์ที่ผิดๆ เช่น อาเจียนมะขาม (รากมะขาม) ข้าวหนาว (ข้าวเย็น) ชอบร้องบทกลอน แต่ขาดสัมผัส เพื่อคู่หูคือนายยอดทอง<br /> นอกจากที่นำมาเสนอไว้ ยังมีตัวตลกอีกหลายตัว เช่น ครูฉิม ครูฉุย สิบค้างคูด อีโร้ง อ้ายทองทิง อ้ายบองหลา อ้ายท่าน้ำตก เผียก อ้ายโหนด ตัวตลกฝ่ายหญิงก็มีหลายตัว เช่น อีหนูเตร็ด อีหนูเน่า หนังแต่ละคณะ มีตลกเอกไม่เกิน 6 ตัว เข้ากับเสียงและนิสัยของนายหนัง นอกนั้งเป็นตัวตลกประกอบ ทุกตัวต้องเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูได้ ตัวตลกเอกเรียกเสียงหัวเราะได้มากและแสดงตลอดเรื่องrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-38858535183159801982009-08-27T00:54:00.004+07:002009-08-27T01:16:00.683+07:00ต้นชก<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkVIlKNe_Cj2UMtpkPKWnC98mAHUMqwlFOUc_4eTPYj82Ipl-fyQo0qjQdudO0__qUnfZhhXlm5vvJ_fUZ9DWlLkMbAWC90G96bY-2lFxdcOyt02yRpbKFqPcbOElDEQRSArlFXm9AFLk/s1600-h/chock_r04.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374336376574184802" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 138px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkVIlKNe_Cj2UMtpkPKWnC98mAHUMqwlFOUc_4eTPYj82Ipl-fyQo0qjQdudO0__qUnfZhhXlm5vvJ_fUZ9DWlLkMbAWC90G96bY-2lFxdcOyt02yRpbKFqPcbOElDEQRSArlFXm9AFLk/s200/chock_r04.gif" border="0" /></a> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCh_5naHnvk9tOT2SA_qlX_pbyJxuapFmIFEw7Q6gXMIrL8eOA3BbNJY28JKL75HHPhzFZnlAZWm-fENP9b4Y-6s9UUYbCVz5GLRKBe1arF19XRMLTz3JEI_i3DhdHD98sA2GgyRmi1tQ/s1600-h/chock_r02.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374336360335221602" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 376px; CURSOR: hand; HEIGHT: 198px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCh_5naHnvk9tOT2SA_qlX_pbyJxuapFmIFEw7Q6gXMIrL8eOA3BbNJY28JKL75HHPhzFZnlAZWm-fENP9b4Y-6s9UUYbCVz5GLRKBe1arF19XRMLTz3JEI_i3DhdHD98sA2GgyRmi1tQ/s200/chock_r02.gif" border="0" /></a><br /><div><br /><br /><div><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwdcgWvDniXcg7USLwsZ7iK8sZ7QI2wflsUQnCCPaV8agwdF0KnTAlVwREW9KRx637N_a7Z5n4R44ROeL5wUEHIdv-YXWNW5W1db23adEoSuuVQXmVYSCuy0tgPVZSSASLij2eMwnm7LI/s1600-h/chock_r03.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374336368386285234" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 142px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwdcgWvDniXcg7USLwsZ7iK8sZ7QI2wflsUQnCCPaV8agwdF0KnTAlVwREW9KRx637N_a7Z5n4R44ROeL5wUEHIdv-YXWNW5W1db23adEoSuuVQXmVYSCuy0tgPVZSSASLij2eMwnm7LI/s200/chock_r03.gif" border="0" /></a><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBBtu-sru0nistYKUVcBZqOfmeJUvMQRWrm9EWq3maKz_JaU4Nm6xES1sTPJxjVEd51OiPO-w6UH1ZQdQMfVyml7lM8125Q9Hfv3he_IYBKBXtAPLI9f3Sj_CvdEbMRvmjbKzHQHWMYdI/s1600-h/chock_r01.gif"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5374336347550133890" style="FLOAT: right; MARGIN: 0px 0px 10px 10px; WIDTH: 251px; CURSOR: hand; HEIGHT: 188px" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBBtu-sru0nistYKUVcBZqOfmeJUvMQRWrm9EWq3maKz_JaU4Nm6xES1sTPJxjVEd51OiPO-w6UH1ZQdQMfVyml7lM8125Q9Hfv3he_IYBKBXtAPLI9f3Sj_CvdEbMRvmjbKzHQHWMYdI/s200/chock_r01.gif" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><div>ต้นชก<br /><br />ชื่อพื้นเมือง : ฉก ( ภูเก็ต , พังงา ), โยก หรือตาว ( สตูล ), เนา ( ตรัง ), กาชก ( ชุมพร ) ชิด ( ภาคกลาง ), ตาว ( ภาคเหนือ ) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Arengasaccharifera Labill หรือ Arenga Pinnata Merr. ชื่อวงศ์ : PALMAE ลักษณะลำต้น : เป็นไม้จำพวกปาล์ม มีลำต้นตรง ขนาดใหญ่กว่าต้นตาล สูงประมาณ 20 – 25 เมตร ต้นชกมีอายุประมาณ 30 ปี ใบ : มีลักษณะคล้ายใบมะพร้าว แต่ใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า ก้านใบ และทางใบเหยียดตรงกว่าใบมะพร้าว มีรกสีดำตามกาบใบหนาแน่น มีความยาวประมาณ 3 เมตร ดอก : ดอกหรืองวงของต้นชก จะออกดอกจากส่วนบนใกล้ยอดของลำต้น มีนิ้วหรือก้านดอกห้อยเป็นพวง ยาวประมาณ 3 – 5 เมตร ต้นชกจะออกดอกหรือ งวงประมาณเดือนกันยายน – ตุลาคม ผล : มีลักษณะการออกผลเป็นทะลาย เนื้อคล้ายผลหลุมพี ภายในผลมี 3 เมล็ด ภายในเมล็ดมีเยื่อหุ้มอยู่ด้วย ผลแก่ราวเดือนมกราคม ถึง กุมภาพันธ์ ต้นชกตัวผู้ เมื่อออกดอกแล้วจะไม่มีผล การกระจายพันธุ์ : มักเจริญเติบโตในบริเวณเชิงเขาหรือเนินเขาเตี้ย ๆ ในป่าเขตร้อนชื้น หรือใกล้ลำธาร โดยเฉพาะในภาคใต้และภาคเหนือของไทย การขยายพันธุ์ : ใช้เมล็ด ประโยชน์ : 1. ใช้ทำอาหาร จากส่วนต่าง ๆ คือ * เนื้อเมล็ด ใช้รับประทานเป็นของหวาน ก่อนรับประทาน ต้องนำไปเผาไฟก่อน แล้วจึงผ่าเพื่อแคะเอาเนื้อออกมา เพราะมีเยื่อหุ้มอยู่จะทำให้เกิดอาการคันได้ * ยอดอ่อน ใช้ทำอาหารได้ทั้งคาวและหวาน * งวงหรือดอก ใช้ทำน้ำตาลชก คล้ายน้ำตาลโตนด 2. ใช้ทำแปรง จากเส้นใยของต้นชกหรือรกชก 3. ใช้ทำเสื้อกันฝนของคนจีนโบราณ จากเส้นใยของลำต้น หรือรกชก เรียกว่า จังซุ้ย ( มีแสดงที่พิพิธภัณฑ์วัดพระทอง และศูนย์อนุรักษ์มรดกท้องถิ่นกะทู้ โรงเรียนบ้านกะทู้ ) 4. ใช้ทำไม้กวาด จากก้านใบ 5. ใช้มุงหลังคา จากใบของต้นชก<br /><br />รัฐกานต์ สัจจวิเศษ ม .2/2 : ผู้รวบรวม<br />ลลิดา เหลืองประดิษฐ์กุล ม .2/2 : ผู้รวบรวม<br />อ . เย็นใจ ทองภิญโญชัย : ที่ปรึกษา<br />อ . เย็นใจ ทองภิญโญชัย : ภาพ<br /><br /><br />บรรณานุกรม<br />มโน พิสุทธิรัตนานนท์ . 2542. “ ชก : พืช .” สารานุกรมวัฒนธรรมไทย ภาคใต้ . 4: 1828 – 1829.<br />สุรีย์ ภูมิภมร และ อนันต์ คำคง , บรรณาธิการ . 2540. ไม้เอนกประสงค์กินได้ . กรุงเทพฯ :<br />สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ .<br /><a href="http://61.19.27.150/library/libra/chock/chock01.JPG"></a><br /><br /><a href="http://61.19.27.150/library/libra/chock/chock02.JPG"></a><br />ต้นชก กระจายพันธุ์อยู่ตาม<br />เชิงเขาในป่าเขตร้อนชื้นหรือ<br />ใกล้ลำธาร โดยเฉพาะ<br />ในภาคใต้และภาคเหนือของไทย<br /><br />ใบของต้นชก<br />มีลักษณะคล้ายใบของต้นมะพร้าว<br />แต่แข็งแรงและใหญ่กว่า<br /><br /><a href="http://61.19.27.150/library/libra/chock/chock03.JPG"></a><br /><br /><a href="http://61.19.27.150/library/libra/chock/chock04.JPG"></a><br />รกของต้นชกที่บริเวณกาบใบ<br />มีความหนาแน่นมากใช้ทำ<br />เสื้อกันฝนหรือแปรงได้<br /><br />ลูกชกเป็นผลรวมมีลักษณะกลม<br />เนื้อในของเมล็ดใช้รับประทาน<br />เป็นของหวาน</div></div></div></div>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-62909108659990315232009-08-27T00:42:00.002+07:002009-08-27T00:47:01.176+07:00ข้าวยำข้าวยำ<br />เครื่องปรุง<br /><br /><br />ข้าวสวย กุ้งแห้งป่น อย่างละ 1 ถ้วย<br />มะพร้าวขูดคั่ว 1 ถ้วย<br />ตะไคร้ซอย 3 ต้น<br />ถั่วฝักยาวหั่นฝอย 1 ถ้วย<br />ถั่วงอกเด็ดหาง 1 ถ้วย<br />มะนาวผ่าซีก 1 ลูก<br />ใบมะกรูดอ่อนซอย 1/2 ถ้วย<br />พริกขี้หนูแห้งคั่วป่น 1/4 ถ้วย<br />ส้มโอแกะเนื้อ 1 ถ้วย<br /><br /><br /><br />น้ำบูดู<br /><br /><br />น้ำบูดู 1/2 ถ้วย<br />ปลาอินทรีเค็ม 1 ชิ้น<br />หอมแดงบุบพอแตก 4 หัว<br />ข่ายาว 1 นิ้ว ทุบพอแตก 1 ชิ้น<br />ตะไคร้หั่นท่อนสั้น 3 ต้น<br />ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ<br />น้ำตาลปี๊ป 1 ถ้วย<br />น้ำ 1 1/2 ถ้วย<br /><br /><br /><br /><br /><br />วิธีทำ<br /><br />ทำน้ำบูดูโดยใส่เครื่องปรุงทั้งหมดลงในหม้อเคลือบ ยกขึ้นตั้งไฟกลางค่อนข้างอ่อน เคี่ยวจนมีลักษณะข้น ยกลงกรองเอาแต่น้ำบูดู<br /><br />เวลารับประทาน จัดข้าวสวยใส่จาน ใส่มะพร้าวคั่ว กุ้งแห้ง ส้มโอ พริกป่น และผักทั้งหมด อย่างละเล็กละน้อย เคล้าอีกครั้ง รับประทานทันทีrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-32012852225789385842009-07-31T07:35:00.000+07:002009-07-31T07:37:39.058+07:00นิทานเวตาล 4นิทาเวตาล๔<br /> <span style="font-size:130%;"> พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปยังต้นอโศกอีกครั้งหนึ่ง และคว้าตัวเวตาลซึ่งสิงอยู่ในศพโดยปราศจากความหวาดกลัวถึงแม้มันจะกรีดเสียงร้องโหยหวนเพียงใดก็ตาม เมื่อจับมันได้แล้วก็ตวัดร่างมันขึ้นพาดบ่า เสด็จไปตามทางเดินอย่างเงียบ ๆ เวตาลเห็นพระราชานิ่งเงียบอยู่ ก็กล่าวทำลายความเงียบขึ้นว่า<br /> "โอ ราชะ ข้าไม่คิดเลยว่าพระองค์จะมาเสียเวลาทำงานให้แก่อ้ายโยคีชั่วคนนั้น เพื่อประโยชน์อันใด จะว่าไปพระองค์ก็รู้ดีอยู่แล้วมิใช่หรือว่า งานที่ทรงทำนี้ย่อมไร้ผลเปล่าโดยแท้ อย่างไรก็ดีหนทางยังอยู่อีกไกล ข้าคิดว่าข้าจะเล่านิทานสนุก ๆ ให้พระองค์ฟังสักเรื่องหนึ่งเพื่อคลายเหงาโปรดทรงสดับเถิด"<br /> แต่ครั้งดึกดำบรรพ์ ยังมีนครใหญ่แห่งหนึ่งชื่อ โศภาวดี มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองอยู่ทรงทนามว่า ศูทรกะ เป็นผู้ห้าวหาญอย่างยอดยิ่งในสงคราม ซึ่งไฟแห่งชัยชนะของพระองค์ถูกกระพือโหมให้เจิดจ้าด้วยพัดที่โบกจากหัตถ์ของนางกษัตริย์ที่ตกเป็นเชลยเพราะสวามีทั้งหลายต้องพ่ายแพ้ในสงคราม ข้าคิดว่าแผ่นดินโลกนี้มีเกียรติมหาศาลในรัชสมัยของพระราชาองค์นี้โดยแท้ ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาโดยตลอด มิได้หยุดเว้่นแม้แต่สักวัน คุณธรรมของพระองค์ชนะใจแม้กระทั่งแม่พระธรณี ทำให้พระเทวีลืมบุคคลอื่นโดยสิ้นเชิง แม้องค์พระรามจันทร์ผู้ยอดเยี่ยมในวีรจริตก็ตาม<br /> สมัยหนึ่งมีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อ วีรวร เดินทางมาจากแคว้นมาลวะ เพื่อมารับจ้างทำงานในราชสำนักของพระราชา เพราะทราบกิตติศัพท์ว่าพระราชาผู้นี้เป็นผู้โปรดปรานคนกล้า ภรรยาของพราหมณ์ชื่อนางธรรมวดี และทั้งสองสามีภริยามีบุตรชายด้วยกันชื่อ สัตตววร และบุตรสาวชื่อวีรวดี คนทั้งสามนี้เป็นครอบครัวของเขา นอกเหนือจากลูกน้องซึ่งมีอีกสามคน วีรวรนั้นเหน็บกริชไว้ที่สีข้าง มือข้างหนึ่งถือดาบ และอีกข้างหนึ่งถือโล่<br /> ถึงแม้ว่าเขาจะรวมกันเป็นบริษัทอันน้อยนิดเท่านี้ก็ตาม เขายังกล้าเรียกร้องค่าจ้างต่อพระราชาถึงวันละห้าร้อยเหรียญทีนาร์ (เหรียญทองโบราณชนิดหนึ่งของอินเดีย) แต่พระราชาศูทรกะก็มิได้เกี่ยงงอน ทั้งนี้เพราะพอพระทัยในรูปร่างท่าทางอันแข็งแรงของเขา จึงตกลงจ้างเอาไว้ แต่ก็ทรงพิศวงในพระทัยไม่หาย ว่าเขาเอาเงินไปทำอะไรมากมายทั้ง ๆ ที่เขาก็เลี้ยงคนเพียงไม่กี่คน พระราชาจึงสั่งให้สายลับของพระองค์ติดตามดูพฤติกรรมของเขาอย่างใกล้ชิด ความจริงปรากฎว่าทุก ๆ วัน วีรวรจะต้องเข้าเฝ้าพระราชาตอนเช้า ตอนกลางวันยืนยามอยู่หน้าประตูวัง มือถือดาบมั่นคง หลังจากนั้นก็กลับไปบ้าน จ่ายเงินหนึ่งร้อยทีนาร์แก่ภรรยาเป็นค่าอาหาร และจ่ายหนึ่งร้อยเหรียญเพื่อเสื้อผ้า วิเลปนะเครื่องลูบไล้ร่างกาย และซื้อหมากพลู เมื่ออาบน้ำแล้วเอาเงินหนึ่งร้อยเหรียญไปบูชาพระวิษณุและพระศิวะ อีกสองร้อยเหรียญสุดท้ายใช้ทำบุญแก่พราหมณ์ที่ยากจน ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้คือการใช้จ่ายประจำวันจากเงินค่ารับจ้างห้าร้อยเหรียญต่อวัน หลังจากนี้วีรวรก็ทำการบูชายัญด้วยเนยใส และทำพิธีอื่น ๆ อีก เสร็จแล้วจึงรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานอาหารเสร็จก็กลับไปอยู่ยามหน้าประตูวังตามเดิมตลอดถึงเวลาค่ำคืนยืนถือดาบเปลีอยอยู่<br /> เมื่อพระราชาศูทรกะได้ทราบเรื่องจากสายลับที่ไปสืบได้ความว่า วีรวรเป็นผู้ประพฤติชอบธรรมดังนั้น ก็ทรงชื่นชมยิ่งนัก จึงโปรดให้จารบุรุษเหล่านั้นยุติการติดตามวีรวร และทรงนิยมเลื่อมใสว่าเขาช่างเป็นคนดีนี่กระไร<br /> วันหนึ่งอากาศร้อนจัด ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้าจนแทบจะทนไม่ไหว และแล้วมรสุมใหญ่ก็เคลื่อนเข้ามาพร้อมด้วยเสียงคำรามกึกก้องในท้องฟ้า สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงไม่ขาดสายทั้งกลางวันและกลางคืน แต่วีรวรก็ยังยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านอยู่กลางห่าฝนที่ประตูพระราชวัง พระเจ้าศูทรกะทอดพระเนตรเห็นในเวลากลางวันจากยอดมนเทียร ครั้นเวลากลางคืนเสด็จขึ้นไปยอดมนเทียรอีกเพื่อดูว่าเขายังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า จากที่นั้นพระราชาตะโกนลงไปว่า "ใครยืนอยู่ที่ประตูวังนั่น" เมื่อวีรวรได้ยินก็ตอบไปว่า "ข้าพระบาทเอง พระเจ้าข้า" พระราชาศูทรกะทรงนึกในพระทัยว่า "อา วีรวร เจ้าช่างเป็นชายที่เข้มแข็งและจงรักภักดีต่อข้ายิ่งนัก ข้าจะเลื่อนเจ้าให้มีตำแหน่งสูงขึ้นไปกว่านี้" เมื่อพระราชาทรงคิดดังนี้แล้วก็เสด็จลงจากยอดมนเทียรเข้าสู่สิริไสยาและเข้าบรรทม<br /> ในวันรุ่งขึ้น เมฆดำในท้องฟ้าก็ยังหลั่งฝนลงมาอย่างรุนแรงตามเดิม ความมืดแผ่ซ่านไปทั่วเหมือนจะบดบังไม่ให้เห็นสวรรค์อีกต่อไป พระราชาเสด็จขึ้นไปบนยอดมนเทียรอีกครั้งด้วยความสนใจใคร่รู้ ทรงตะโกนถามลงไปด้วยเสียงอันแจ่มใสว่า "ใครยืนเฝ้าหน้าประตูปราสาทนั่น" วีรวรก็ตะโกนขึ้นไปว่า "ข้าพระบาทอยู่ที่นี่"<br /> ขณะที่พระเจ้าแผ่นดินกำลังนึกชื่นชมองครักษ์ของพระองค์อยู่นั้น พลันได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้คร่ำครวญมาแต่ที่ไกล เป็นเสียงโหยหวนเหมือนคนมีทุกข์ใหญ่ปิ่มว่าใจจะขาดรอน เมื่อพระราชาได้สดับดังนั้นก็บังเกิดความสงสารจับใจ กล่าวแก่พระองค์เองว่า "ในอาณาจักรของข้า ไม่มีใครถูกบังคับกดขี่ ไม่มีคนยากไร้ หรือมีใครเดือดร้อน ก็ผู้หญิงคนนี้เป็นใครเล่า จึงมาพิลาปร่ำไห้อยู่แต่ผู้เดียวในยามค่ำคืนเช่นนี้" คิดดังนี้แล้วพระราชาก็ออกคำสั่งแก่วีรวรผู้ยืนอยู่ข้างล่างว่า "ฟังนะวีรวร ข้าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ในที่ไกล จงออกไปดูว่านางคือใคร และนางร้องไห้ทำไม"<br /> เมื่อวีรวรได้ฟังรับสั่งก็กราบทูลว่า "ข้าพระบาทจะไปสืบดู พระเจ้าข้า" แล้วออกเดินหา มือถือดาบกระชับแน่น มีกริชห้อยเอว ค่อยด้อมมองเหมือนรากษสที่ด้อมหาเหยื่อ มีแสงฟ้าแลบแวบวาบจากท้องฟ้าดูประหนึ่งแสงจากดวงตาของอสูรร้าย และเม็ดฝนซึ่งตกกราดไปทั่วนั้นเล่าก็ดูประหนึ่งก้อนหินที่มันขว้างปามาฉะนั้น พระราชาศูทรกะเมื่อแลเห็นองครักษ์หนุ่มออกวิ่งไปแต่ผู้เดียวในราตรีเช่นนั้น พระทัยของพระองค์ก็เป็นห่วง และเกิดความอยากจะรู้เหตุการณ์จึงรีบเสด็จลงจากยอดมนเทียร พระหัตถ์กุมดาบวิ่งตามหลังไปติด ๆ แต่ลำพังโดยที่เขาไม่ทันรู้<br /> วีรวรวิ่งติดตามเสียงคร่ำครวญไปจนถึงบึงแห่งหนึ่งอยู่นอกพระนคร ณ ที่นั้น ชายหนุ่มแลเห็นหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ในบึงกำลังเปล่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ นางแลเห็นเขาก็กล่าวว่า "โอ ท่านผู้วีระ ท่านผู้มีเมตตา ท่านผู้มีใจอันกว้างขวาง ขอท่านจงช่วยเหลือข้าด้วยเถิด ข้าจะอยู่ได้อย่างไรเล่า ถ้าปราศจากท่านเสียแล้ว" ฝ่ายวีรวรผู้ซึี่งพระราชาแอบติดตามมาเงียบ ๆ ได้ฟังถ้อยคำของหญิงลึกลับก็กล่าวด้วยความสนเท่ห์ว่า "เธอเป็นใครทำไมมานั่งคร่ำครวญอยู่ที่นี่"<br /> นางได้ฟังก็ตอบว่า "วีรวรที่รัก ท่านจงรู้เถิดว่าข้านี่แหละคือแม่นางธรณี และพระราชาศูทรกะนั้นเป็นนาถะของข้า น่าเสียดายที่พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์เสียแล้วนับแต่นี้ไปอีกสามวัน ข้าจะอยู่ต่อไปได้ไฉน และข้าจะหาใครที่เป็นที่พึ่งอันวิเศษสุดเช่นพระองค์ได้ที่ไหนเล่า ด้วยเหตุนี้แหละข้าจึงเศร้าโศกและมานั่งคร่ำครวญสงสารตัวเองและพระราชาองค์นั้นด้วย"<br /> วีรวรได้ยินนางกล่าวก็ตกใจ กล่าวละล่ำละลักว่า<br /> "เรื่องเป็นเช่นนั้นหรือ โอ้พระปฤถิวีเทวี จะมีหนทางใดที่จะช่วยชีวิตของพระราชาไว้ได้เล่า เหตุใดพระโลกนาถจะต้องสิ้นพระชนม์ชีพด้วยเล่า"<br /> พระธรณีนิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า<br /> "มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นที่จะพลิกผันชะตากรรมนี้ได้ และเจ้าผู้เดียวที่จะรับภาระนี้ไป"<br /> เมื่อได้ฟังดังน้น วีรวรก็รีบรับคำว่า "บอกมาเถิด พระแม่เจ้า บอกมาเร็ว ๆ เพื่อข้าจะได้รีบทำ ข้าเต็มใจทุกอย่างแม้จะต้องพลีด้วยชีวิตของข้าก็ตาม"<br /> พระเมทนีได้ฟังก็กล่าวว่า "ใครเล่าจะกล้าหาญและภักดีต่อองค์พระภูบดีเหมือนเจ้า จงฟังคำของข้าให้ดี วิธีที่จะช่วยพระนฤบดินทร์ได้มีอยู่ทางเดียวคือ เจ้าต้องเอาลูกของเจ้าคือสัตตววรสังเวยต่อพระแม่เจ้าจัณฑี (ผู้ดุร้าย หมายถึงพระอุมา มเหสีของพระศิวะในปางดุร้าย ซึ่งเป็นปางที่พระเทวีมาปรากฏพระองค์เพื่อทำสงครามกับเหล่าอสูรเท่านั้น บางทีเรียกว่าเจ้าแม่กาลี) พระมหาเทวีผู้ทรงเกียรติระบือจะทรงปรากฏพระกายต่อหน้าผู้ภักดีต่อพระองค์และพร้อมจะทรงช่วยได้เสมอ พระจัณฑีผู้นี้ประทับอยู่ภายในวิหารที่อยู่ใกล้พระราชวังนี้แหละ เจ้าจงทำอย่างที่ข้าแนะและพระราชาก็จะปลอดภัย และมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีกร้อยปี ถ้าเจ้าจะปฏิบัติตามคำของข้าโดยเร็ว ข้าก็เชื่อแน่ว่าพระชนม์ชีพของพระองค์จะดำรงอยู่ แต่ถ้าเจ้ามัวแต่รีรอ ก็เชื่อเถิดว่า พระราชาจะต้องสิ้นชีวิตภายในสามวั้นนับแต่วันนี้เป็นต้นไป<br /> เมื่อพระปฤถิวีเทวีแจ้งให้ทราบเรื่องความลับดังนี้ วีรวรก็ให้คำมั่นสัญญาว่า "ข้าแต่พระเทวี ข้าจะไปดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด" พระเทวีจึงให้พรว่า "ขอจงสำเร็จเถิด" แล้วอันตรธานหายไป ถ้อยคำทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบดังกล่าวมิได้รอดพ้นโสตของพระราชาไปได้ เพราะพระองค์แอบติดตามวีรวรมาอย่างลับ ๆ โดยที่วีรวรไม่รู้ตัว<br /> วีรวรกลับไปบ้านของตนอย่างรวดเร็วในความมืด ส่วนพระราชาศูทรกะมีความอยากรู้ว่าเหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างไร ก็แอบย่องตามหลังชายหนุ่มไปติด ๆ โดยเขาไม่รู้สึกตัว แลเห็นวีรวรตรงเข้าไปหานางธรรมวดีผู้เป็นภรรยาและแจ้งให้นางทราบว่า ตนได้รับคำแนะนำจากพระธรณีให้มาเอาบุตรชายไปสังเวยต่อเจ้าแม่กาลี เพื่อช่วยชีวิตพระราชา เมื่อนางได้ฟังก็กล่าวว่า<br /> "ท่านพี่ เรามีหน้าที่ต้องพิทักษ์พระชนม์ชีพของพระราชา จงอย่ารีรอเลย รีบไปปลุกลูกชายของเราเถิด และแจ้งให้เขาทราบด้วยตัวท่านพี่เอง"<br /> วีรวรจึงปลุกลูกชายของตนให้ลุกขึ้น เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง และกล่าวว่า "สัตตววรลูกรัก จงรู้เถิดว่า ถ้าเจ้ายอมเป็นเครื่องสังเวยพระแม่เจ้าจัณฑี พระราชาก็จะรอดชีวิต แต่ถ้าเจ้าไม่ยินยอม พระราชาก็จะต้องสูญสิ้นพระชนม์ชีพภายในสามวัน"<br /> สัตตววรแม้จะเป็นเด็กก็ตาม แต่ก็มีความกล้าหาญอย่างยอดยิ่งสมกับชื่่อ สัตตววร ซึ่งมีความหมายว่า "ผู้มีชื่อเสียงอันโดดเด่นเพราะความกล้าหาญ" เด็กน้อยจึงตอบบิดาว่า<br /> "ลูกจะสังเวยชีวิตเพื่อพระราชาเอง เพื่อจะได้ตอบแทนพระคุณของพระองค์ผู้ประทานข้าวปลาอาหารเลี้ยงชีวิตของพวกเรา ฉะนั้นจะต้องลังเลทำไม เอาลูกไปวางบนแท่นสังเวยของพระแม่เจ้าเถิด ขอให้ลูกเป็นผู้รับภาระอันนี้เพื่อความผาสุกขององค์นฤบดีเถิด"<br /> เมื่อสัตตววรกล่าวเช่นนี้ วีวรก็โล่งอก กล่าวว่า "ลูกเอ๋ย เจ้าช่างสมเป็นลูกพ่อยิ่งนัก"<br /> ฝ่ายพระราชาผู้สะกดรอยตามมาและแอบฟังอยู่ข้างนอก ได้ยินเรื่องราวโดยตลอดก็ทรงตื้นตันพระทัยนัก ทรงรำพึงแก่พระองค์เองว่า "อา คนเหล่านี้มีความกล้าหาญเหมือนกันหมดโดยแท้"<br /> วีรวรนำบุตรชายออกจากบ้าน ให้เด็กน้อยนั่งบนบ่า และนางธรรมวดีผู้ภรรยาก็จูงลูกสาวชื่อ วีรวดี ติดตามมาด้วย พากันไปยังเทวาลัยของพระจัณฑี ฝ่ายพระราชาก็ติดตามมาดูเหตุการณ์อย่างกระชั้นชิด<br /> คร้ันแล้ววีรวรก็อุ้มลูกชายลงจากบ่า และวางบนแท่นสังเวยของเทวรูป เมื่อสัตตววรถูกนำมาสู่เบื้องพระพักตร์พระเทวีก็มิได้มีความหวาดหวั่นแต่ประการใด ก้มศีรษะลงอย่างนอบน้อม กล่าวว่า<br /> "ข้าแต่พระเทวี ขอให้การสังเวยศีรษะของข้าในวันนี้จงเป็นผลยังพระราชาศูทรกะให้ดำรงพระชนม์ชีพยืนนานถึงร้อยปีด้วยเถิด ขอให้พระองค์ทรงปกครองราชอาณาจักรด้วยความเกรียงไกรไร้ผู้ต้านทานเถิด"<br /> เมื่อสัตตววรกล่าวจบลง วีรวรก็เปล่งเสียงด้วยความยินดีว่า "ดีละ ลูกของพ่อ" พร้อมกับชักดาบออกจากฝักฟันฉับลงไปที่คอของบุตรชาย แล้วนำไปถวายเบื้องพระพักตร์พระจัณฑีเทวี และกล่าวว่า "ข้าพเจ้าได้สังเวยบุตรต่อองค์พระแม่เจ้าแล้ว ขอทรงช่วยให้พระราชารอดพ้นความตายด้วยเถิด"<br /> ทันใดก็มีเสียงอุโฆษลอยมาในอากาศทำให้ได้ยินทั่วกันว่า "สาธุ วีรวรเจ้าช่างเป็นคนซื่อสัตย์และภักดีต่อพระราชานี่กระไร จะหาใครเสมอเหมือนเจ้าก็ยากนัก เพราะการที่เจ้าทำการสังเวยต่อข้าด้วยชีวิตของลูกชายผู้ประเสริฐดังนี้ พระราชาศูทรกะจะมีพระชนม์ชีพยาวนาน และอาณาจักรของพระองค์จะรุ่งโรจน์สืบไปชั่วกาลนาน"<br /> ขณะนั้นเองนางวีรวดีบุตรสาวของวีรวรก็ลุกขึ้น ตรงไปสวมกอดศีรษะของพี่ชาย ซึ่งหาชีวิตไม่แล้ว สะอึกสะอื้นด้วยความรันทด และด้วยความทุกข์แสนศัลย์สุดทีี่จะทนทาน หัวใจนางก็แตกสลายล้มลงขาดใจตาย พระราชาทรงเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้โดยตลอดจากที่ซ่อนของพระองค์<br /> ทันใดนั้นนางธรรมวดีผู้เป็นภรรยาของวีรวรก็ลุกขึ้นกล่าวแก่สามีว่า "เราได้ช่วยเหลือพระเจ้าแผ่นดินและอาณาจักรของพระองค์ไว้แล้ว บัดนี้ข้ามีบางสิ่งจะพูดกับท่าน ก็ตั้งแต่ลูกสาวของข้า แม้เป็นเด็กไร้เดียงสา ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วย ยังต้องมาตายเพราะความโศกเศร้าถึงพี่ชาย เป็นอันว่าชีวิตของลูกทั้งสองของข้าก็สิ้นสูญไปแล้ว ชีวิตของข้าจะมีประโยชน์อันใดอีกเล่า ข้าเป็นคนโง่เองที่มิได้เสนอตัวเองเพื่อสังเวยตั้งแต่แรกเพื่อความอยู่รอดของพระราชา ฉะนั้นขอให้ข้าเข้ากองไฟตายพร้อมกับลูก ๆ ด้วยเถิด"<br /> เมื่อนางปลงใจจะทำเช่นนี้ วีรวรก็ขัดไม่ได้ จึงกล่าวแก่นางว่า<br /> "นางผู้เป็นภัฏฏินี (หญิงผู้เจริญ หญิงผู้ดี) ของข้า ถ้าเป็นความประสงค์ของเจ้า ก็จงทำเถิด ขอความเจริญจงมีแก่เธอ ข้ารู้ว่าข้าไม่อาจจะยับยั้งเจ้าได้ เพราะเจ้ามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำเช่นนี้ ข้ารู้ว่าเจ้าจะทนทานต่อไปอีกไม่ไหวเพราะเมื่อสิ้นลูก ชีวิตเจ้าก็พลอยสิ้นสูญไปด้วย แต่อย่าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองเลย เพราะเจ้าเองมิได้ถูกกำหนดให้ต้องสังเวยชีวิต ตัวข้าก็เช่นเดียวกันที่จะต้องสังเวย ถ้ามิใช่ความประสงค์ของพระแม่เจ้าที่ประสงค์เฉพาะลูกชายของข้าเท่านั้น เจ้าจงคอยอยู่ที่นี่ก่อน จนกว่าข้าจะจัดกองไฟสำหรับเจ้าด้วยฟืนเหล่านี้ และทำรั้วล้อมรอบมณฑลแห่งยัชญพิธีของพระแม่เจ้าเสียก่อน" วีรวรกล่าวจบก็ลงมือทำจิตกาธาน (ที่เผาศพ ,เชิงตะกอน) และรั้วยัชญมณฑลจนเสร็จเรียบร้อย แล้ววางศพลูกทั้งสองบนกองฟืน จุดไฟลุกโชติช่วงด้วยตะเกียง<br /> นางธรรมวดีเห็นทุกสิ่งจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วก็คุกเข่าลงแทบเท้าสามีกล่าวอำลา และหลังจากที่บูชาพระแม่เจ้าจัณฑีแล้ว ก็สวดมนตร์และอธิษฐานว่า "ขอให้สามีในปัจจุบันของข้าได้ไปเจอกันอีกในชาติหน้าภพใหม่ และขอให้การสังเวยชีวิตของข้าจงเป็นผลเพื่อสวัสดิภาพของพระราชานั้นทุกประการ" กล่าวจบนางผู้เลิศด้วยคุณธรรมก็โผร่างเข้าหากองไฟอันช่วงโชติในจิตกาธานซึ่งเป็นเปลวแลบเลียไปทั่วทุกทิศทุกทาง<br /> ครั้นแล้ววีรวรบุรุษผู้วีระก็กล่าวแก่ตนเองว่า<br /> "เราได้ทำทุกสิ่งไปแล้วเพื่อการรอดชีวิตของพระราชา และทำตามที่เสียงสวรรค์ได้เป็นประจักษ์พยานรับรู้ บัดนี้เราก็ใช้หนี้ให้แก่นายของเราผู้ให้ข้าวให้น้ำเรากินจนหมดสิ้นแล้ว บุญคุณอื่นใดเป็นอันยุติ เดี๋ยวนี้เราก็เป็นอิสระแล้ว ประโยชน์อันใดที่เราจะยึดมั่นในชีวิตนี้อีกต่อไป การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากผู้เป็นที่รักคือลูกและเมียย่อมไร้ค่าสำหรับคนซึ่งมีหน้าที่จะต้องกระทำอย่างเรา ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ไยเราไม่สังเวยชีวิตที่เหลืออยู่นี้ให้แก่พระทุรคาเทวี(เทวีผู้เข้าถึงยาก หมายถึงพระอุมาปางดุร้าย) เล่า"<br /> เมื่อคิดดังนี้แล้วเขาก็ก้าวเข้าไปยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเทวี และกล่าวโศลกถวายด้วยความนอบน้อมว่า<br /> "ขอเกียรติคุณจงมีแด่พระเทวีผู้ประหารมหิษาสูร (อสูรผู้มีร่างเป็นควาย เป็นอสูรร้ายกาจที่พระทุรคาต้องเสด็จมาปราบและทรงประหารมันได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงทรงได้นามว่า มหิษาสรมรรทินี ) ในบรรพกาล พระผู้ทำลายชีพของทานพรุรุ (ทานพ ชื่อรุรุ เป็นชื่อของอสูรหรือทานพผู้หนึ่งที่ได้รับพรจากพระพรหมแล้วมีใจกำเริบ ยกทัพไปย่ำยีสวรรค์ บรรดาทวยเทพต่างก็หนีไปเฝ้าพระทุรคาหรือศักติ (มเหสีพระศิวะ) ที่ภูเขาอัญชัน และทูลขอร้องให้ช่วย พระเทวีจึงเสด็จมาปราบ อสูรรุรุ และทรงประหารอสูรด้วยเล็บพระบาท) โอ พระเทวีผู้ทรงตรีศูลเป็นเทพาวุธ ขอความรุ่งโรจน์จงมีแด่พระโลกมาตา ผู้เป็นยอดแห่งผู้เป็นมารดาทั้งหลาย พระองค์เป็นผู้นำความบันเทิงสุขมาสู่ทวยเทพ และเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งโลกทั้งสาม ขอสิทธิศักดิ์จงมีแด่พระองค์ ผู้มีพระบาทอันชาวโลกทั้งมวลพึงกราบไหว้ พระเป็นที่พึ่งของสัตตวนิกรทั้งหลายผู้มาพึ่งพำนักจิตเพื่อความหลุดพ้น ขอชัยจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงพัสตราภรณ์คือรัศมีแห่งสูรยะ ผู้ขับไล่ความมืดความวุ่นวายให้สิ้นไป โอ้ พระแม่เจ้ากาลี พระเทวีผู้ทรงสายประคำคือกะโหลกมนุษย์ และทรงประดับพระเศียรด้วยกระดูกแห่งสรีระ ขออนัตชัยจงมีแด่องค์พระศิวา (มเหสีของพระศิวะ หมายถึงพระอุมา ทุรคา กาลี จัณฑี เคารี และอื่น ๆ) ขอทรงมีพระเกียรติยิ่งยืนนาน ขอพระองค์ทรงพอพระทัยในการสังเวยศีรษะของข้า และทรงอวยพระพรให้พระราชาศูทรกะมีชนมายุยิ่งยืนนานเถิด"<br /> หลังจากการกล่าวถ้อยคำดังนี้แล้ว วีรวรก็ตัดศีรษะของตนให้ขาดออกโดยฟันด้วยดาบเพียงฉับเดียว<br /> พระราชาศูทรกะผู้เป็นสักขีในเหตุการณ์ทั้งหมด จากการแอบดูในที่ซ่อนของพระองค์ ทรงประหลาดพระทัย และรู้สึกงุนงงอย่างยิ่งจากภาพที่ได้เห็น ทรงเสียพระทัยยิ่งนัก ตรัสแก่พระองค์เองว่า "ชายผู้มีค่ายิ่งคนนี้พร้อมด้วยครอบครัวของเขาได้ประกอบกรรมอันยากยิ่งเ้พื่อช่วยเหลือเรา กรรมอันนี้เป็นที่ที่เหลือเชื่อ ยากที่ใคร ๆ ในแผ่นดินโลกจะทำได้อย่างนี้ และเขากระทำเพื่อเราโดยไม่มุ่งหวังการตอบแทนสักนิด ถ้าเรามิได้รู้ถึงบุญคุณของเขา ความเป็นราชันยะของเราจะมีคุณค่าอะไร เราก็คงจะไม่แตกต่างไปจากสัตว์ตัวหนึ่งโดยแท้"<br /> ดำริฉะนี้แลพระวีรราชาก็ชักพระแสงดาบออกจากฝัก เสด็จเข้าไปหาพระเทวี และกล่าวอ้อนวอนด้วยความนอบน้อมว่า<br /> "ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอได้โปรดข้าด้วยเถิด โปรดประทานพรแก่ข้า ขอให้พราหมณ์ชื่อ วีรวร ผู้นี้ซึ่งมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับชื่อของเขา ผู้เสียสละแม้ชีวิตเพื่อความอยู่รอดของข้า ขอให้เขาและครอบครัวจงกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาเถิด"<br /> เมื่อกล่าวกถาดังนี้แล้ว พระราชาเตรียมจะเชือดพระศอด้วยดาบอันคมกล้า ทันใดนั้น ก็มีเสียงลอยมาในอากาศว่า "ช้าก่อนราชะ ข้าพอใจในพลีของท่านแล้ว เอาเถอะ ข้าจะให้พราหมณ์วีรวรกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่พร้อมด้วยภรรยาและบุตรของเขา"<br /> เมื่อได้กล่าวประกาศิตแล้วเสียงสวรรค์ก็หายไป ทันใดวีรวรก็คืนชีพขึ้นมาพร้อมด้วยบุตรชาย บุตรสาว และภรรยาของเขา พอเห็นคนเหล่านี้ฟื้นขึ้นมา พระราชาก็รีบวิ่งเข้าหาที่ซ่อนเร้น กำบังมิให้ใครเห็น ทรงจ้องดูภาพของคนเหล่านั้นด้วยความอัศจรรย์ใจ และมีอัสสุชลเปี่ยมปริ่มด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น<br /> ฝ่ายวีรวรเมื่อได้มีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง มีความรู้สึกเหมือนคนตื่นจากหลับแลไปเห็นบุตรและภรรยาต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ ก็สับสนในใจไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น จึงถามบุตรและภรรยาว่า<br /> "พวกเจ้าถูกไฟเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน แล้วกลับฟื้นขึ้นมาอีก เป็นไปได้อย่างไร ข้าก็เหมือนกัน จำได้ว่าข้าตัดหัวตัวเองไปแล้วหลังจากที่เผาศพพวกเจ้า แล้วนี่ข้ากลับมีชีวิตขึ้นมาอีก นี่จะเป็นมายาที่หลอกตาข้าหรือไร หรือว่าพระแม่เจ้าโปรดให้เรารอดจากตายด้วยความกรุณาของพระองค์ ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง ๆ"<br /> เมื่อได้ฟังดังนี้ภรรรยาและบุตรจึงกล่าวว่า "ที่เราได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งนี้ คงจะเป็นด้วยอำนาจของพระเทวีบันดาลให้เป็นไประหว่างที่เราหมดสตินั่นเอง"<br /> วีรวรใคร่ครวญดูว่าเรื่องคงจะเป็นไปอย่างที่คนเหล่านั้นพูด มิได้มีข้อสงสัยอีกต่อไป จึงกระทำการบูชาต่อองค์พระจัณฑี แล้วพาครอบครัวกลับไปบ้านมีความยินดีว่าตนได้ปฏิบัติภารกิจเสร็จไปแล้วตามปรารถนาทุกประการ และหลังจากที่พาบุตรภรรยากลับไปบ้านแล้วก็กลับมายืนยามหน้าประตูวัง อันเป็นหน้าที่ประจำของตนในราตรีนั้นนั่นเอง ส่วนพระราชาศูทรกะผู้แลเห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็ออกจากที่ซ่อนเสด็จกลับสู่วังและขึ้นไปที่ยอดพระมนเทียร และตะโกนลงมาว่า "ใครอยู่หน้าประตูนั่น" วีรวรได้ยินก็กล่าวด้วยเสียงอันดังว่า "ข้าพระบาทอยู่ที่นี่พระเจ้าข้า โอ ราชะ ตามที่ทรงมีบัญชาให้ข้าพระบาทไปสืบเรื่องหญิงผู้นั้น แต่นางได้อันตรธานไปต่อหน้าต่อตาเมื่อข้าพระบาทแลเห็นนาง ราวกับว่านางคือรากษสี (นางรากษส หรือนางอสูรประเภทหนึ่ง) ตนหนึ่ง หาใช่เป็นคนธรรมดาไม่"<br /> พระราชาได้ฟังคำตอบของวีรวรก็ทรงประหลาดพระทัยมาก เพราะพระองค์เป็นบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด ทรงรำพึงในพระทัยว่า "จริงแท้ทีเดียวบุคคลผู้ประเสริฐ ล้วนเป็นผู้ที่รู้จักตนเองและควบคุมจิตใจได้อย่างลึกซึ้ง เหมือนทะเลอันกว้างใหญ่และลึกสุดหยั่ง เพราะเมื่อเขาประกอบกรณียกิจอันหาใครเปรียบมิได้นั้น แทนที่เขาจะโอ้อวดตนเอง กลับนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไรเลย" เมื่อทรงรำพึงดังนี้แล้ว พระราชาก็เสด็จลงมาจากยอดมนเทียรกลับคืนสู่ห้องบรรทมและทรงพักผ่อนตลอดคืน<br /> ในตอนเช้าวีวรถูกตามมาเฝ้าต่อหน้าประชุมชน พระราชาผู้ทรงมีพระทัยอันเปี่ยมไปด้วยความยินดีได้ตรัสแก่ที่ประชุมมนตรีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืนโดยตลอด ทำให้ทุกคนในท้องพระโรงตื่นเต้นกันมาก ครั้นแล้วพระราชาได้ประทานของขวัญอันล้ำค่าแก่วีรวรเพื่อเป็นเครื่องตอบแทนน้ำใจอันยิ่งใหญ่ คือทรงยกดินแดนเว่นแคว้นลาฏะและกรรณาฏะให้วีวรปกครอง หลังจากนั้นพระราชาสองพระองค์คือ พระเจ้าวีรวรและพระเจ้าศูทรกะ ผู้มีอานุภาพเสมอกันก็ปกครองดินแดนของตนด้วยความสงบสุขสืบมา<br /> เมื่อเวตาลเล่านิทานอันพิสดารสุดขีดจบลง ก็กล่าวแก่พระราชาตริวิกรมเสนว่า "โอ นฤบดี ในเรื่องที่ข้าเล่ามานี้ พระองค์ทรงเห็นว่าใครเป็นผู้ที่กล้าหาญที่สุดในจำนวนคนเหล่านั้น ถ้าพระองค์ทรงทราบและไม่พูด คำสาปที่ข้าเคยกล่าวมาแล้วแต่ต้นก็จะประสบแก่พระองค์โดยแท้"<br /> พระราชาได้ฟังถ้อยคำของเวตาลก็ตรัสว่า "พระราชาศูทรกะนั่นแหละ เป็นผู้ที่กล้าหาญที่สุดในบรรดาคนทั้งหลาย"<br /> เวตาลได้ฟังก็แย้งว่า "คนที่กล้าหาญที่สุดมิใช่วีรวรหรอกหรือ เพราะเขาได้ทำวีรกรรมที่ยากจะหาใครเสมอเหมือนในโลกนี้ และมิใช่ภรรยาของเขาดอกหรือที่กล้าหาญกว่า เพราะเป็นแม่ที่ต้องทนเห็นลูกชายต้องถูกสังเวยไปต่อหน้าต่อตา และมิใช่ลูกชายคือสัตตววรหรอกหรือ แม้จะเป็นเพียงเด็กแต่ก็กล้าพลีชีพของตนเพื่อพระราชาและบิดาของตน นี่ไม่เรียกว่าวีรกรรมอันยอดยิ่งดอกหรือไร ไฉนพระองค์จึงตรัสว่าพระราชาศูทรกะเป็นผู้กล้าหาญยิ่งกว่าคนเหล่านั้นเล่า"<br /> เมื่อได้ยินเวตาลกล่าวดังนั้น พระราชาตริวิกรมเสนก็อธิบายว่า<br /> "เจ้าอย่าพูดอย่างนั้นเลย ก็วีรวรนั้นเป็นคนตระกูลสูง จะอยู่ในครอบครัวใดก็ตาม ว่าตามจริงเขาต้องเป็นหัวหน้าที่มีความรับผิดขอบ รวมทั้งลูกและเมียของเขาก็เช่นเดียวกัน ทุกคนถือเป็นหน้าที่อยู่แล้วที่จะต้องสละขีวิตเพื่อคุ้มครองพระราชาของตน ในกรณีที่เกิดขึ้นนี้ นอกจากวีรวรจะทำตามหน้าที่ผูกพันกับพระราชาแล้ว นางผู้เป็นภรรยานั้นเล่าก็เป็นหญิงประเสริฐที่เคารพรักสามียิ่งชีวิต หล่อนทำไปเพราะถือเป็นหน้าที่ว่าภรรยาจะต้องดำเนินรอยตามสามีด้วยใจภักดิ์ ส่วนสัตตววรผู้เป็นลูกนั้นเล่าก็เป็นเช่นเดียวกับพ่อและแม่ของตน ย่อมทำตามพ่อแม่ด้วยความรักและความผูกพันโดยแนบแน่นเหมือนเส้นด้ายที่ตีขึ้นมาจากฝ้ายฉะนั้น แต่พระราชาศูทรกะเป็นเยี่ยมเหนือกว่าคนเหล่านั้นทุกคน เพราะพระองค์เป็นผู้พร้อมที่จะพลีชีวิตเพื่อคนรับใช้ของพระองค์ เป็นการเสียสละอย่างกล้าหาญที่พระเจ้าแผ่นดินไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเช่นนั้นเลย"<br /> เมื่อเวตาลได้ยินคำอธิบายจากพระโอษฐ์ของพระราชาเช่นนั้น ก็ผละจากอังสาของพระราชา หายแวบไปทันทีโดยไม่มีใครเห็น และกลับคืนไปสู่ที่เดิมด้วยอิทธิฤทธิ์ของตน ทำให้พระราชาต้องเสด็จกลับทางเดิม เพื่ือไปนำตัวเวตาลกลับมาใหม่ </span>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-3704305376529537772009-07-29T19:52:00.000+07:002009-07-29T19:56:19.124+07:00นิทานเวตาล 3<span style="font-size:130%;color:#cc0000;">นิทานเรื่องที่๓<br /> พระวีรกษัตริย์ตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวเวตาลเอามา ณ ที่นั้นได้แลเห็นซากศพที่มันสิงอยู่ห้องหัวบนกิ่งอโศก จึงปีนขึ้นไปจับตัวมันพาดไหล่ แล้วเสด็จกลับไปตามทางเดิม ระหว่างทางอันเงียบสงัด เวตาลได้ถือโอกาสกล่าวขึ้นว่า "ข้าแต่วิศามบดี" ข้ารู้สึกประหลาดใจมากที่แลเห็นพระองค์สู้ทนความลำบากเสด็จกลับไปมากลับมาหลายเที่ยว เพื่อจะทำธุระให้แก่คนอื่นโดยใช่เหตุ ข้าจึงคิดว่าจะเล่านิทานสนุก ๆ สักเรื่องหนึ่งถวาย เพื่อเป็นเครื่องปลอบพระทัย ขอทรงฟังเถิด"<br /> แต่ปางบรรพ์มีพระนครอันใหญ่และสวยงามชื่อปาฏลีบุตร มีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงนามว่าพระเจ้าวิกรมเกศริน ซึ่งทรงมีคุณธรรมอันไพศาล พอ ๆ กับท้องพระคลังของพระองค์ซึ่งอุดมด้วยมณีรัตนนับไม่ถ้วน พระองค์มีนกแก้วตัวหนึ่ง ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดอย่างอัศจรรย์ราวกับเทพยดาเข้าดลใจแลมีความชำนิชำนาญในศาสตร์ทั้งปวง เหตุที่มันต้องมาเกิดเป็นนกในชาตินี้ก็เพราะมันถูกสาปด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นกแก้วตัวนี้มีชื่อว่าวิทัคธจูฑามณี มันได้ทูลแนะนำพระองค์ให้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงผู้ทรงศักดิ์แห่งแคว้นมคธชื่อจันทรประภา เจ้าหญิงเองก็ทรงเลี้ยงนกไว้เป็นคู่พระทัยตัวหนึ่งเป็นนกขุนทองตัวเมียมีชื่อว่า โสมิกา เป็นนกที่เจนจบในวิชาการต่าง ๆ ทั้งนกแก้วและนกขุนทองถูกเลี้ยงไว้ในกรงทองกรงเดียวกันราวกับเป็นคู่ผัวเมียฉะนั้น<br /> วันหนึ่งนกแก้วเกิดความกำหนัดในนางนกโสมิกาจึงกล่าวแก่นางว่า "มาแต่งงานกับข้าเถิด เจ้ารูปงาม ไหน ๆ เราก็หลับนอนและได้รับการเลี้ยงดูในกรงเดียวกันแล้ว"<br /> นางนกขุนทองได้ฟังก็ตอบว่า "อย่าเลย ข้าไม่เคยพิศวาสในผู้ชายหน้าไหนทั้งนั้น เพราะขึ้นชื่อว่าผู้ชายแล้วล้วนแต่ชั่วช้าและใจร้าย" ทั้งสองต่างก็โต้เถียงกันอย่างไม่ลดละ ในที่สุดเกิดท้าทายและพนันกันว่า ถ้านกแก้วชนะจะได้นกขุนทองเป็นเมีย และถ้านางนกขุนทองชนะ นกแก้วจะต้องกลายเป็นทาสของนางตลอดไป เมื่อตกลงกันดังนี้แล้วก็พากันไปเฝ้าเจ้าชาย ทูลเรื่องให้ฟังและขอให้ตัดสินอย่างยุติธรรม ขณะนั้นเจ้าชายประทับอยู่ในท้องพระโรงธารกำนัลของพระราชบิดา เมื่อได้ฟังคดีวิวาทของนกทั้งสอง จึงตรัสแก่นางนกโสมิกาว่า<br /> "เจ้าจงเล่าให้ข้าฟังสิว่า เหตุใดจึงว่าผู้ชายเป็นคนอกตัญญู"<br /> นางนกได้ฟังดังนั้นก็กล่าวว่า "ขอทรงฟังเถิด" แล้วก็ลงมือเล่าเรื่องประกอบข้อกล่าวหาของตนดังต่อไปนี้<br /> (เรื่องแทรกของนางนกโสมิกา)<br /> พระเจ้าข้า ในสมัยโบราณมีพระนครชื่อ กามันทกี ในเมืองนี้มีพ่อค้าคนหนึ่งร่ำรวยมาก มีชื่อว่า อรรถทัตต์ พ่อค้ามีลูกชายอยู่เพียงคนเดียวชื่อ ธนทัตต์ เมื่อไวศยะผู้เศรษฐีถึงแก่กรรมลง ลูกขายก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ผลาญทรัพย์ที่มีอยู่แม้มากมายมหาศาลให้หดเหี้ยนไป ธนทัตต์คบเพื่อนที่ล้วนแต่ชั่วช้าเลวทราม ซึ่งคนชั่วเหล่านี้ได้ชักจูงให้เขาประพฤติชั่วต่าง ๆ มีการเล่นการพนันและอื่น ๆ ต่อมามิช้าทรัพย์สมบัติก็มลายไปหมด ชายหนุ่มมีความละอายที่กลายเป็นคนยากจนเพราะรักษาสมบัติของตัวเองไม่ได้ จึงละถิ่นฐานบ้านเรือนออกตุหรัดตุเหร่ไปในดินแดนต่าง ๆ<br /> ในระหว่างทางที่ผ่านไป ชายหนุ่มมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง ชื่อจันทนปุระ และบังเกิดความหิวโหยเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง จึงเข้าไปในบ้านนายวาณิชผู้หนึ่งเพื่อขออาหารกิน และราวกับโชคบันดาลให้เป็นไป เผอิญพ่อค้าผู้นั้นไม่มีบุตรชายและเห็นธนทัตต์เป็นชายหนุ่มรูปงามท่าทางเป็นผู้ดีมีสกุล ก็บังเกิดความสนใจ จึงไต่ถามเรื่องราวความเป็นมาของเขา เมื่อได้ทราบว่าเป็นไวศยะเหมือนกับตน นายวาณิชผู้เฒ่าก็รู้สึกยินดีจึงรับชายหนุ่มไว้เป็นบุตรบุญธรรม และยกธิดาชื่อรัตนวลีให้เป็นภรรยาอีกด้วย ธนทัตต์ก็อยู่บ้านพ่อตามีความสุขสำราญตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา<br /> กาลเวลาผ่านไป ธนทัตต์ผู้อยู่บ้านพ่อตาอย่างสุขสบาย มีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือก็เกิดความดิ้นรนขึ้นมาอีก คิดจะกลับบ้านเดิมเพื่อจะเอาทรัพย์ไปเล่นการพนันให้สนุกตื่นเต้นตามนิสัยสันดานเดิมของตนซึ่งอดไม่ได้ จึงขออนุญาตพ่อตาเดินทางกลับบ้านเดิมและพาภรรยาไปด้วย นายวาณิชเฒ่ามีบุตรสาวเพียงคนเดียวก็มีความอาลัยไม่อยากจะให้ไป แต่เมื่อขัดไม่ได้ก็จำใจต้องให้ตามสามีไป นางแต่งเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ไปเต็มที่ มีพี่เลี้ยงเฒ่าติดตามไปเป็นเพื่อน ทั้งสามคนก็ออกเดินทางไป หลังจากที่เดินมาพักใหญ่ถึงป่าเปลี่ยว ซึ่งน่าจะเป็นที่อยู่ของพวกโจร ขายหนุ่มจึงกล่าวแก่นางผู้ภรรยาว่า เพื่อความปลอดภัยขอให้นางถอดเครื่องประดับมามอบให้ตนดูแล เพราะถิ่นนี้เป็นถิ่นโจร เมื่อได้รัตนาภรณ์อันมีค่ามาแล้ว ชายชั่วก็เก็บเข้ารวมกับห่อสมบัติของตนอนิจจาเอ๋ย ขอให้ตรองดูเดิดว่าเจ้าผัวจำแลงนี้มันชั่วชาติเพียงไร มันติดการพนันจนโงหัวไม่ขึ้น คนอย่างนี้ใจแข็งและคมกริบเหมือนดาบ<br /> เจ้าโจรใจฉกาจเมื่อหลอกได้ทรัพย์ของภรรยาแล้ว ก็คิดจะฆ่านางเสียเพื่อปิดปาก จึงผลักนางกับแม่เฒ่าลงไปอยู่ในเหวแล้วรีบเดินทางต่อไป หญิงชรานั้นตายในเหวแต่นางบุตรสาวเศรษฐีหาได้ตายไม่ เพราะเมื่อตกลงไปในเหวนั้น เผอิญนางตกลงไปบนซุ้มไม้เลื้อยที่เกี่ยวพันกันราวกับลงไปอยู่ในตาข่าย นางจึงรอดชีวิตไป นางค่อยไต่เชิงเถาวัลย์ขึ้นมาจนถึงปากเหว มีความรู้สึกเหนื่อยอ่อนแทบจะขาดใจ นางค่อยลัดเลามาจนถึงทางที่นางผ่านมา และล้มลุกคุกคลาน โซซัดโซเซมาตามทางจนในที่สุดกลับมาถึงบ้านโดยปลอดภัย แต่ร่างกายของนางฟกช้ำดำเขียวเจ็บระบมไปหมด เมื่อนางกลับมาถึงบ้าน บิดามารดาของนางตกใจมาก ไต่ถามสาเหตุด้วยความสงสัย นางผู้มีคุณธรรรมจึงกลับเรื่องเสียใหม่โดยกล่าวแก่บิดามารดาว่า<br /> "พวกเราถูกโจรปล้นระหว่างทาง สามีของลูกถูกโจรมันจับมัดลากเอาตัวไป ยังไม่รู้ชะตากรรมเลย แม่เฒ่าถูกฆ่าตาย แต่ลูกรอดชีวิตมาได้เพราะเมื่อถูกเหวี่ยงลงเหวนั้น เผอิญตกไปค้างอยู่บนซุ้มไม้เลื้อยจึงไต่ขึ้นมาได้ ถึงปากเหวก็สลบเหมือด แต่นักเดินทางกลุ่มหนึ่งช่วยเอาไว้ โชคยังดีอยู่จึงกลับมาถึงบ้านได้"<br /> เมื่อนางรัตนาวลีเล่าเรื่องจบ เศรษฐีผู้เป็นบิดาและมารดาก็กล่าวปลอบโยนนางต่าง ๆ มิให้เสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะการที่นางเอาชีวติรอดมาได้ก็นับว่าโชคช่วยอย่างมากแล้ว นางอยู่ในบ้านพ่อแม่เรื่อยมา แต่ไม่มีความสุขนักเพราะเฝ้าแต่คิดถึงสามีอันเป็นที่รักไม่เว้นวาย<br /> ฝ่ายธนทัตต์ผู้สามีซึ่งเดินทางกลับไปเมืองที่ตนเคยอาศัยอยู่พร้อมด้วยทรัพย์สินของภรรยานั้น ต่อมามิช้าเขาก็ถลุงเงินจนหมดเกลี้ยงด้วยการเล่นการพนันอย่างหามรุ่งหามค่ำ และปรนเปรอตัวเองด้วยของกินชนิดเลิศและสุรานารีไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเงินหมดก็คิดหาทางที่จะแสวงหาอีก โดยมีความคิดว่า "เราจะกลับไปบ้านพ่อตา อ้อนวอนขอเงินเขามาสัก้อนหนึ่งเอาไปทำทุน เราจะบอกแก่เขาว่า ลูกสาวของเขายังพักอยู่ที่บ้านของเรา มิได้เอามาด้วย" เมื่อทำกำหนดแผนการเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็เดินทางไปที่บ้านพ่อตา พอเข้าประตูบ้านภรรยาของเขาแลเห็นแต่ไกลก็ดีใจ วิ่งมาต้อนรับและทรุดตัวลงคารวะอย่างนอบน้อม ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาเป็นโจรใจอำมหิต ความจริงก็เป็นดังนี้แหละ ผู้หญิงดีนั้นแม้ผัวจะชั่วชาติสักปานใด นางก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเคารพรัก ที่นางมีต่อเขา เมื่อเห็นนางวิ่งเข้ามหาโดยไม่คาดฝัน ชายหนุ่มก็ตกใจแทบสิ้นสติ แต่นางก็กล่าวปลอบโยนเขาให้คลายใจ โดยกล่าววว่า นางได้สร้างเรื่องโกหกแก่บิดมารดาของนางว่า นางถูกโจรปล้นจับเอาตัวสามีไปและผลักนางตกเหว แต่นางเอาชีวิตรอดมาได้และยังไม่รู้ชะตากรรมของสามีว่าเป็นอย่างไร เมื่อชายหนุ่มได้ฟังก็หายวิตก เข้าไปสู่บ้านพ่อตาแม่ยายของตนพร้อมด้วยภรรยา ข้างพ่อตาแม่ยายแลเห็นเข้า ก็ดีอกดีใจที่ลูกเขยกลับมาได้ จึงเรียกประชุมญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงจัดการฉลองอย่างใหญ่โตเป็นการรับขวัญลูกเขย และประกาศว่า "ช่างน่ายินดีนี่กระไรที่ลูกเขยของเราถูกโจรจับไปแต่หนีรอดมาได้ในที่สุด"<br /> หลังจากนั้นธนทัตต์ก็อาศัยอยู่กับนางรัตนาวลีในบ้านพ่อตาแม่ยายด้วยความสุข มีเงินทองใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ แต่เจ้าประคุณเอ๋ย คืนหนึ่งอ้ายคนชั่วเห็นได้โอกาสก็แอบฆ่าภรรยาของตนตอนที่นางหลับอยู่ กวาดเอาทรัพย์สินและของมีค่าต่าง ๆ หนีกลับไปสู่ถิ่นเดิมของตน มีชีวิตอยู่อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่มีใครได้ข่าวคราวอีกนับแต่นั้น<br /> "ฉะนั้นเราอาจจะกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า ผู้ชายมันก็ชั่วเหมือนกันทั้งโลกนั่นแหละ" นางนกขุนทองสรุปทิ้งท้ายอย่างแค้นเคือง<br /> พระราชาจึงหันมาตรัสแก่นกแก้วว่า "คราวนี้ถึงทีเจ้าแล้วละ มีอะไรจะเถียงไหม"<br /> นกแก้วได้ยินก็กล่าวว่า "โอ เทวะ ขึ้นขื่อว่าผู้หญิงแล้ว ล้วนมีจริตเหลือที่จะทนทาน เป็นคนทุศีล และชั่วช้าสามานย์เหมือนกันหมด ขอได้โปรดสดับเรื่องราวที่ข้าพระบาทจะเล่าถวายดังต่อไปนี้"<br />(เรื่องแทรกของนกแก้ว วิทัคธจูฑามณี)<br /> มีนครหนึ่งชื่อหรรษวดี ในนครนี้มีไวศยะที่มีชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่งมีชื่อว่า ธรรมทัตต์ มีทรัพย์หลายสิบโกฏิ พ่อค้าผู้นี้มีธิดาคนหนึ่งชื่อ วสุทัตตา มีความงามหาที่เปรียบมิได้ เป็นที่รักของบิดาปานชีวิต ต่อมาเศรษฐีจัดการแต่งนางกับพ่อค้าหนุ่มผู้มั่งคั่งชื่อ สมุทรทัตต์ ซึ่งมีฐานะเท่าเทียมกันทั้งทรัพย์สมบัติและรูปสมบัติอันงามพร้อม เป็นที่ต้องตาของสตรีทั้งหลายซึ่งทอดสายตาให้ด้วยความหลงใหลราวกับนกจโกระที่คลั่งไคล้ต่อแสงจันทร์ฉะนั้น ไวศยะหนุ่มผู้นี้มาจากเมืองตามรลิปติ ซึ่งเป็นแหล่งของคนดีมีเกียรติยศทั้งหลาย<br /> ครั้งหนึ่งนางวสุทัตตตาพักอยู่ที่บ้านพ่อของนางในขณะที่สามีกลับไปทำธุรกิจในแว่นแคว้นของตน นางแลเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินทางมาแต่ระยะไกล ชายผู้นั้นมีความงดงามมาก บังเกิดความพิศวาสหลงใหลด้วยอำนาจของมาร (ผู้เฒ่า เป็นฉายานามของกามเทพ) จึงแอบเชื้อเชิญเขาอย่างลับ ๆ และทำเขาให้เป็นชู้ของนาง หลังจากนั้นนางก็แอบมาพบเขาทุก ๆ คืน มีความคลั่งไคล้แต่ชายชู้ผู้เดียวโดยมิเสื่อมคลาย<br /> ครั้นแล้ววันหนึ่ง สามีของนางก็กลับมาจากเมืองของเขา การปรากฏตัวของเขายังความปลาบปลื้มแก่บิดามารดาของนางอย่างยิ่ง ต่างก็ต้อนรับเขาอย่างกุลีกุจอ ในวันแห่งความรื่นรมย์นั้น แทนที่นางจะสดชื่นรื่นเริง กลับไม่พูดอะไรกับสามีเลย และเมื่ออยู่สองต่อสองกับนาง นางก็แกล้งทำเป็นหลับ ไม่ไยดีต่อสามี ในใจนางมีแต่ความโหยไห้คิดถึงแต่หนุ่มชายชู้เท่านั้น ส่วนสามีของนางมึนเมาไม่ได้สติเพราะเสพสุรา ประกอบกับความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเพราะการเดินทางมาตลอดวันทำให้เขาม่อยหลับไป<br /> ขณะนั้นมีโจรคนหนึ่งแอบเจาะช่องกำแพงเล็ดลอดเข้ามาในบ้าน ประจวบกับนางวสุทัตตาลุกขึ้นจากเตียง แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอันงดงาม ประดับดัวยรัตนาภรณ์แพรวพราวระยับเดินออกมาจากห้องนอนโดยไม่ทันเห็นโจร มุ่งหน้าออกไปยังสถานที่ที่นางนัดไว้กับชายชู้ เมื่อโจรแลเห็นนางรีบลุกลี้ลุกลนออกไปก็สงสัย กล่าวแก่ตนเองว่า "นางผู้นี้ออกไปจากห้องในเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแต่งตัวงดงามด้วยปิลันธนาภรณ์อันมีค่าซึ่งเราตั้งใจจะเข้ามาขโมยพอดี ดีละเราจะสะกดรอยดูว่านางจะไปไหน" เมื่อโจรตั้งใจดังนี้แล้วก็แอบออกไปจากห้องติดตามนางวสุทัตตาไปโดยมิให้คลาดสายตา และนางไม่ทันสังเกต<br /> นางวสุทัตตาถือช่อดอกไม้และของขวัญอันมีค่าเดินออกจากบ้านไป มีโจรติดตามไปอย่างลับ ๆ เข้าไปสู่อุทยานแห่งหนึ่งนอกพระนครออกไปไม่ไกลนัก ที่อุทยานั้นเอง นางได้เห็นชู้รักของนางถูกแขวนคอห้อยอยู่กับกิ่งไม้ด้วยเชือกเส้นหนึ่ง เนื่องจากราชบุรุษ(ตำรวจ) มาพบเขาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ในสวนในเวลากลางคืน จึงจับเขาแขวนคอเป็นการลงทัณฑ์เพราะคิดว่าเขาเป็นขโมย นางซวนกายผงะหงายด้วยความตกใจแทบสิ้นสติ ร้องออกมาว่า "ฉิบหายแล้วเรา" พร้อมกับทรุดกายลงนั่งกับพื้นดินร่ำไห้ด้วยความรักและเสียดาย<br /> เมื่อค่อยสร่างโศกได้สติขึ้นนางจึงปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้ แก้เชือกออกปล่อยร่างชู้รักลงไปบนพื้น แล้วลงมายกศพของเขาขึ้นวางในท่านั่งแล้วลูบไล้ร่างกายของเขาด้วยวิเลปนะของหอม และประดับด้วยบุปผามาลัยอันวิจิตร และถึงแม้ร่างของเขาจะปราศจากชีวิตแล้ว นางก็ยังโอบกอดเขาไว้ด้วยความเสน่หา ร่ำไห้เหมือนใจจะขาด และในความโศกรันทดนั้นเอง นางจับหน้าของเขาให้เงยขึ้นและประจงจูบอย่างทะนุถนอม ขณะนั้นเวตาลเข้าสิงศพอยู่ เห็นนางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ก็กัดจมูกนางในทันที นางวสุทัตตาตกใจรีบผละหนีไป แต่แล้วก็เกิดความงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงเดินกลับมาใหม่เพื่อจะดูให้แน่ว่าชู้รักของนางยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ครั้นเห็นเวตาลละร่างไปแล้ว และร่างนั้นตายสนิทเคลื่อนไหวต่อไปอีกไม่ได้ นางก็ผละจากศพนั้นเดินทางกลับไปบ้าน ร้องไห้ด้วยความกลัวและอัปยศอดสู<br /> ระหว่างนั้นโจรซึ่งแฝงกายแอบดูอยู่ ได้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็กล่าวแก่ตัวเองว่า<br /> "นางหญิงชั่วมาทำอะไรที่นี่ อนิจจา จิตใจของผู้หญิงนี้ช่างน่ากลัวและดำราวกับความมืดของบ่อน้ำลึกสุดหยั่งที่ใครตกลงไปแล้วไม่มีวันจะได้กลับขึ้นมาได้อีก เราสงสัยนักว่านางจะทำอย่างไรนับแต่นี้"<br /> หลังจากรำพึงดังนี้แล้ว โจรก็แอบย่องตามนางกลับไปทางเดิมด้วยความพิศวงว่านางจะแก้สถานการณ์ด้วยวิธีใด<br /> นางวสุทัตตากลับไปถึงบ้านก็ตรงเข้าไปในห้องนอน เห็นสามียังหลับอยู่ก็ทำตีอกชกหัวร้องไห้ร้องห่ม แผดเสียงว่า "ช่วยด้วย ช่วยด้วย ไอ้คนชาติชั่วผัวเลวทรามมันกัดจมกูข้าขาดแล้ว ข้าไม่ได้ทำความผิดอะไรแม้แต่สักนิด" ฝ่ายสามีของนางพร้อมด้วยพ่อตาและบรรดาคนใช้ได้ยินเสียงนางร้องตะโกนดังนั้น ต่างตกใจตื่นและวิ่งกรูกันมาด้วยท่าทางตื่นเต้น บิดานางวสุทัตตาแลเห็นลูกสาวของนางที่ถูกกัดมาใหม่ ๆ ก็ปักใจเชื่อว่าเป็นการกระทำของลูกเขยตน จึงให้บ่าวไพร่ช่วยกันจับตัวมัดและกล่าวหาว่าชายผู้เคราะห์ร้ายเป็นคนทำร้ายธิดาของตน ฝ่ายสมุทรทัตต์ถึงแม้จะถูกมัดและถูกกล่าวหาดังนั้นก็ยังคงนิ่งเฉยมิได้ตอบโต้แต่ประการใด ราวกับเป็นใบ้ พ่อตาและคนอื่น ๆ ต่างก็หันหลังให้แก่เขาด้วยความชิงชัง<br /> เมื่อนายโจรได้เห็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนั้นก็ค่อย ๆ เลี่ยงหลบไปเงียบ ๆ และเมื่อคืนแห่งความโกลาหลดังกล่าวได้ผ่านไปแล้ว ถึงเวลาเช้าบุตรไวศยะก็ถูกลากตัวไปเฝ้าพระราชาพร้อมด้วยนางผู้ภรรยาซึ่งมีจมูกโหว่เพราะถูกกัด เมื่อพระราชาได้ฟังเรื่องราวฟ้องร้องดังนั้น มิทันได้พิจารณาโดยรอบคอบก็สั่งให้เพชฌฆาตนำตัวบุตรพ่อค้าไปประหารในข้อหาว่า ทำร้ายภรรยาของตนให้พิการ ทั้งนี้โดยมิฟังข้อแก้ตัวใด ๆ เลย ขณะที่ชายหนุ่มถูกนำตัวไปยังตะแลงแกงเพื่อประหารชีวิต และกลองตีรัวเป็นสัญญาณนั้น ก็มีโจรผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นและกล่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้เป็นราชบุรุษว่า "ท่านไม่ควรจะประหารชายผู้นี้เพราะเขามิได้กระทำผิดเลยสักนิด ข้าเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดแต่ผู้เดียว พาข้าไปเฝ้าพระราชาโดยเร็วเถิดเพื่อจะได้ทูลความจริงให้ทรงทราบ"<br /> เมื่อได้ยินโจรเล่าวดังนั้น บรรดาราชบุรุษก็พาโจรไปเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้รับราชานุญาตแล้ว โจรก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบโดยตลอดตั้งแต่ต้น และกล่าวเสริมว่า "ถ้าพระองค์ไม่เชื่อข้าพระบาทก็โปรดทอดพระเนตรจมูกของผู้หญิงคนนี้ในปากของศพชายชู้ของนางเถิด"<br /> พระราชาได้ฟังดังนั้นก็ส่งราชบุรุษไปดูสถานที่เกิดเหตุก็ได้ทราบความจริงจึงกลับคำพิพากษาให้งดโทษประหาร แต่สั่งให้เนรเทศหญิงชั่วไปให้พ้นแว่นแคว้น พร้อมกับตัดใบหูเสียงทั้งสองข้าง ยิ่งกว่านั้นยังโปรดให้ริบทรัพย์ของผู้เป็นบิดานางเสีย และสำหรับนายโจรนั้น พระราชาทรงโปรดปรานว่าเป็นคนเฉลียวฉลาดและกล้าหาญจึงตั้งให้เป็นหัวหน้าตุลาการของพระนคร<br /> "ได้โปรดเกล้า ทรงเห็นหรือยังว่าผู้หญิงนั้นโดยธรรมชาติเป็นคนชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์แสนกลเพียงใด" นกแก้วกล่าวสรุปในที่สุด<br /> พอเล่าเรื่องจบลง นกแก้วก็พ้นจากคำสาปของพระอินทร์ กลายร่างเป็นคนธรรพ์รูปงามชื่อ จิตรรถ เหาะไปสู่สรวงสวรรค์ ขณะเดียวกันคำสาปของนางนกขุนทองก็เสื่อมลง นางนกโสมิกาก็กลายร่างเป็นนางเทพอัปสรชื่อ ติโลตตมา กลับคืนไปถวายการบำเรอท้าววัชรินทร์ในสวรรค์เช่นเดิม อย่างไรก็ดี กรณีพิพาทของนกทั้งสองก็ยังไม่ได้ตัดสินในท้องพระโรง<br /> <br /> เมื่อเวตาลเล่าเรื่องจบลง ก็กล่าวแก่พระราชาว่า "ขอพระองค์โปรดทรงวินิจฉัยด้วยเถิดว่า ฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิงพูดถูก ถ้าพระองค์ทราบแล้วมิแสดงความเห็น พระเศียรของพระองค์ก็จะต้องแตกเป็นเสี่ยง ๆ โดยพลัน"<br /> ฝ่ายพระราชาเมื่อถูกเวตาลซึ่งห้อยอยู่บนบ่ากล่าวถ้อยคำดังนั้นก็ตรัสว่า "นางจอมมายาหญิงในเรื่องของนกแก้วนั่นแหละเป็นหญิงที่ชั่วช้าที่สุด เพราะว่าผู้ชายอาจจะหลงทำผิดได้ชั่วครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ผู้หญิงนั้นว่าโดยความจริงเป็นคนชั่วในทุกโอกาส"<br /> เมื่อพระเจ้าแผ่นดินตรัสดังนี้ เวตาลก็หลุดลอยหนีไปจากพระอังสาของพระองค์ กลับไปยังที่เดิม และพระราชาก็ต้องเสด็จย้อนไปทางเดิมเพื่อไปจับตัวเวตาลกลับมาใหม่<br /></span>rungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.comtag:blogger.com,1999:blog-8804160977376394935.post-57502355639442478732009-07-26T20:30:00.000+07:002009-07-26T20:32:40.687+07:00นิทานเวตาล 2<strong><span style="font-size:180%;color:#3333ff;">นิทานเวตาลเรื่องที่ ๒</span></strong><br /> พระราชาตริวิกรมเสนเสด็จกลับไปที่ต้นอโศกอีกครั้งหนึ่งเพื่อจับตัวเวตาล เมื่อเสด็จไปถึงที่นั้น ทรงสอดส่ายพระเนตรดูโดยรอบในความมืดอันมีแสงไฟเรือง ๆ จากจิตกาธานส่องมา ในที่สุดก็พบศพนั้นนอนหงายอยู่บนพื้นดินกำลังกรนอยู่ จึงเข้าไปจับตัวศพนั้นซึ่งมีเวตาลสิงอยู่ตวัดขึ้นบนบ่า และรีบดำเนินไปอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังที่ซึ่งนัดไว้กับโยคีศานติศีล เวตาลซึ่งแขวนอยู่บนบ่าก็เริ่มกล่าวทำลายความเงียบขึ้นว่า<br /> "โอ ราชะ ภาระที่พระองค์ต้องทนแบกไว้นี้ช่างสาหัสสากรรจ์เสียจริง ๆ ไม่เหมาะสมแก่พระองค์เลย ถ้ากระไรข้าจะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง เพื่อจะได้ทรงเพลิดเพลิน ขอให้ทรงฟังเถิด"<br /> บนฝั่งของแม่น้ำยมุนา ณ ที่แห่งนั้น เป็นเขตคามที่กำหนดไว้สำหรับพวกพราหมณ์โดยเฉพาะ มีชื่อว่าหมู่บ้านพรหมสถล ในหมู่บ้านนี้มีพราหมณ์ผู้หนึ่งอาศัยอยู่ มีชื่อว่า อัคนิสวามิน เป็นผู้ที่เจนจบในคัมภีร์พระเวททั้งปวง (คือคัมภีร์ไตรเวท ประกอบด้วยคัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท และสามเวท ต่อมาภายหลังได้เพิ่มเข้าไปอีกคัมภีร์หนึ่ง คืออถรรพเวท จึงเรียกว่า จตุรเวท) พราหมณ์ผู้นี้มีบุตรสาวแสนสวยผู้หนึ่งชื่อว่า มันทารวดี ความงามของนางล้ำเลิศหาที่เปรียบมิได้ราวกับเป็นผลงานที่พระพรหมทรงสรรค์สร้างขึ้น และเมื่อนางได้กำเนิดมาแล้วก็ดูเหมือนว่าท้าวธาดาเธอทรงสิ้นเยื่อใยในเทพอัปสรทั้งปวงโดยสิ้นเชิง เมื่อนางเจริญวัยเป็นสาวแรกรุ่นนั้นปรากฏว่ามีพราหมณ์หนุ่มสามคนเดินทางมาจากแคว้นกันยกุพชะ พราหมณ์เหล่านี้เป็นผู้แตกฉานในศาสตร์ทั้งปวงเท่าเทียมกัน และพราหมณ์แต่ละคนก็มุ่งมาสู่ขอมันทารวดีโฉมงามจากบิดาของนาง ต่างคนต่างก็สาบานว่าถ้านางแต่งงานกับคนอื่น ตนก็จะฆ่าตัวตาย แต่บิดาของนางก็มิได้ยกนางให้แก่ใคร เพราะเกรงว่าถ้ายกให้คนหนึ่ง อีกสองคนก็จะฆ่าตัวตายเสีย ดังนั้นนางจึงคงอยู่เป็นโสดเรื่อยมามิได้คิดแต่งงานกับใคร และพราหมณ์ทั้งสามก็ยังคงพักอยู่ที่นั่นเรื่อยมา ทั้งกลางวันและกลางคืนก็เฝ้าแต่มองดูพักตร์ของนางอันงามเปล่งปลั่งราวกับสมบูรณจันทร์ (พระจันทร์เต็มดวง) ต่างก็ไม่ได้กินไม่ได้นอน ทำตนราวกับนกจโกระ (นกเขาไฟ ตามนิยายโบราณกล่าวว่า "ยังชีพอยู่ได้ด้วยแสงจันทร์") ซึ่งอาศัยแสงจันทร์เป็นอาหารฉะนั้น<br /> ต่อมานางมันทารวดีล้มป่วยเป็นไข้อย่างรุนแรง นางมิอาจจะทนทานต่อพิษไข้ได้ก็ถึงแก่ความตาย พราหมณ์หนุ่มทั้งสามมีความเศร้าโศกอย่างยิ่ง นำร่างอันเป็นศพของนางไปสู่ป่าช้า สวดให้แก่นางด้วยความรักและเผาศพนางที่จิตกาธาน พราหมณ์หนุ่มคนหนึ่งสร้างกระท่อมน้อยขึ้นตรงที่ใกล้ เอาเถ้าถ่านอังคารของนางมาโปรยลงบนเตียงและนอนทับบนพื้น เขายังชีพไปวันหนึ่ง ๆ ด้วยการถือกะลาขออาหารกินตามมีตามเกิด พราหมณ์คนที่สองรวบรวมกระดูกของนางเอาไปทิ้งในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ ส่วนพราหมณ์คนที่สามถือเพศเป็นโยคีท่องเที่ยวพเนจรไปยังดินแดนต่าง ๆ<br /> โยคีเดินทางผ่านแว่นแคว้นต่าง ๆ เรื่อยมาจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อวัชรโลก จึงเข้าไปภิกขาจารที่บ้านพราหมณ์ผู้หนึ่ง ท่านพราหมณ์ได้ต้อนรับเขาด้วยอัธยาศัยอันดียิ่ง เขาจึงนั่งบริโภคอาหารในบ้านพราหมณ์ผู้นั้น ขณะนั้นมีเสียงทารกร้องจ้าขึ้นมาและร้องติดต่อกันไม่หยุด ไม่มีใครจะห้ามให้หยุดได้ นางพราหมณีผู้เป็นมารดาบันดาลโทสะจึงจับทารกขึ้นมาแล้วโยนโครมลงไปในกองไฟ เด็กถูกไฟเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน โยคีผู้นั่งกินอาหารอยู่เงียบ ๆ แลเห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็ตกใจ รู้สึกสยดสยองจนขนหัวลุกชัน ร้องออกมาว่า "พุทโธ่ พุทโธ่เอ๋ย นี่ข้าเข้ามาในบ้านของพราหมณ์รากษสหรือนี่ ข้าไม่กินอะไรแล้ว เพราะการเสพอาหารในบ้านของพราหมณ์ปีศาจเช่นนี้เป็นบาปกรรมอย่างมหันต์ไม่ว่าจะเป็นอาหารชนิดใดก็ตาม"<br /> ขณะเมื่อเขากล่าวดังนี้ พราหมณ์ผู้คฤหบดี (เจ้าของบ้าน) จึงพูดว่า<br /> "อย่าตกอกตกใจไปเลย ท่านจงคอยดู ข้าจะชุบชีวิตเด็กคนนี้ขึ้นใหม่ โดยการร่ายมนตร์อันศักดิ์สิทธิ์ ดูสิ"<br /> เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว มหาพราหมณ์ก็เดินไปหยิบคัมภีร์มหาเวทอันศักดิ์สิทธิ์มาเปิดออกแล้วสวดมนตร์บทหนึ่ง ขณะที่สวดอยู่ก็เอาขี้เถ้าโปรยลงในกองไฟ พอสวดจบลง เด็กก็ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ มีลักษณะและองคาพยพ (อวัยวะ) เหมือนเดิมทุกประการ พราหมณ์อาคันตุกะเห็นเหตุการณ์เป็นดังนั้นก็ค่อยคลายใจ ลงมือเสพอาหารต่อไปตามปกติ พราหมณ์เจ้าของบ้านเมื่อร่ายมนตร์เสร็จแล้ว ก็เอาคัมภีร์ไปเก็บไว้ที่เดิม ลงมือกินอาหารเสร็จแล้วก็เข้านอนในราตรี พราหมณ์อาคันตุกะก็กระทำเช่นเดียวกัน<br /> พอเห็นพราหมณ์เจ้าของบ้านและภรรยานอนหลับแล้ว โยคีหนุ่มก็ลุกขึ้นค่อย ๆ ย่องไปที่เก็บคัมภีร์และหยิบเอาไป ตั้งใจจะเอาไปใช้ชุบชีวิตให้แก่นางมันทารวดีผู้เป็นที่รัก โยคีหนุ่มออกจากบ้านนั้นไปพร้อมด้วยคัมภีร์มหาเวท รีบเร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน มุ่งกลับไปยังสุสานที่ตนและพรรคพวกช่วยกันเผาศพนางครั้งนั้น พอมาถึงป่าช้าก็แลเห็นพราหมณ์คนที่สองเดินทางกลับมาแล้วหลังจากที่เอาอัฐิของนางไปโยนแม่น้ำคงคาเพื่อให้นางไปสู่สุคติ และที่สุสานนั้นเช่นกันก็แลเห็นพราหมณ์ผู้เอาอังคารธาตุของนางมาโปรยนอน กำลังหลับอยู่ในกระท่อมที่สร้างไว้ จึงพูดกับพราหมณ์สหายให้รื้อกระท่อมทิ้งเสีย เพื่อตนจะได้ทำพิธีร่ายมนตร์มฤตสัญชีวินี (มนตร์ชุบคนตายให้ฟื้นคืนชีวิต พระศุกร์ได้มาจากพระศิวะและสืบต่อกันมาถึงคนรุ่นหลัง) ชุบชีวิตนางขึ้นใหม่ เมื่อรื้อกระท่อมทิ้งแล้วเถ้าถ่านของนางก็ตกเรี่ยรายอยู่บนพื้นดิน โยคีหนุ่มเมื่อเห็นทุกสิ่งพร้อมแล้วก็เปิดคัมภีร์ร่ายมนตร์อันศิกดิ์สิทธิ์พร้อมกับโปรยฝุ่นลงไปบนพื้นดินผสมผสานกับเถ้าถ่าน มินานพอจบมนตร์ดังกล่าวก็ปรากฎร่างนางมันทารวดีขึ้นในกองไฟ นางก้าวออกมาจากกองไฟพิธีด้วยรูปโฉมอันเปล่งปลั่งงดงามยิ่งกว่าเดิม ราวกับทองคำที่ถูกไฟชำระแล้วมีความสุกปลั่งผุดผ่องฉะนั้น<br /> เมื่อพราหมณ์ทั้งสามแลเห็นนางมันทารวดีผู้งามเฉิดฉายราวเทพอัปสรปรากฏเฉพาะหน้า ต่างคนต่างก็แทบจะคลั่งตายเพราะความรัก และต่างก็ทุ่มเถียงแก่งแย่งกรรมสิทธิ์ในตัวนางด้วยกัน ไม่มีใครยอมเสียสละแก่กัน พราหมณ์ผู้เป็นโยคีกล่าวว่า "นางต้องเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนร่ายมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ชุบนางขึ้นมาจากความตาย ข้าย่อมมีสิทธิ์ในตัวนาง" พราหมณ์คนที่สองเถียงว่า "นางควรเป็นของข้าเพราะข้าเป็นคนเอาอัฐิของนางไปโปรยลงในแม่น้ำคงคา ทำให้นางสะอาดบริสุทธิ์ด้วยสายน้ำอันศักดิ์สิทธิ์นั้น" และพราหมณ์คนที่สามก็กล่าวขึ้นอย่างเชื่อมั่นเต็มที่ว่า "ข้าเท่านั้นที่ควรจะได้นางเป็นภรรยา เพราะข้าเอาเถ้าถ่านของนางมาเก็บไว้และบำเพ็ญตบะเพื่อนางทุกวัน"<br /> "โอ ราชะ" เวตาลกล่าวยิ้ม ๆ "โปรดตัดสินทีเถอะ ว่าในสามคนนี้นางควรจะเป็นของใคร ถ้าพระองค์รู้แล้วแกล้งไม่ตอบ พระเศียรของพระองค์จะต้องแยกเป็นเสี่ยง ๆ"<br /> ฝ่ายพระเจ้าตริวิกรมเสนเมื่อได้ยินเวตาลพูดดังนั้นจึงตรัสว่า "ชายคนที่ร่ายมนตร์ทำให้นางคืนชีวิตขึ้นมานั้น ถึงแม้เขาจะต้องใช้ความสามารถและลำบากลำบนปานใด ก็ควรจะเป็นพ่อของนางเท่านั้น และพราหมณ์คนที่เอาอัฐิของนางไปสู่แม่น้ำคงคาก็ควรจะถือว่าเป็นลูกของนางอย่างเดียว ส่วนพราหมณ์ที่เก็บเถ้าถ่านของนางและคงอยู่ที่ป่าช้าถึงกับสร้างที่อยู่ตรงที่เผาศพนาง และบำเพ็ญตบะเพื่อนางนั่นต่างหาก ควรจะได้เป็นสามีของนางโดยแท้ เพราะเขาอยู่กับนางตลอดเวลามิได้ทอดทิ้งนางไปไหน แสดงความรักอันดื่มด่ำต่อนางแม้เพียงนอนบนเถ้าธุลีของนางโดยมิได้รังเกียจ"<br /> เมื่อเวตาลได้ฟังพระเจ้าตริวิกรมเสนตรัส ดังนั้น เป็นการละเมิดสัญญาที่ตกลงกัน จึงอันตรธานจากบ่าของพระราชากลับไปที่อยู่ของตน แต่พระราชาก็ต้องทนลำบากติดตามหาตัวมันอีก ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงถือมั่นในสัจจะที่ให้ไว้แก่โยคีศานติศีล และบุคคลที่มีสัจจะเช่นพระองค์นั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ย่อมจะปฏิบัติเหมือนกันหมด คือต้องทำภาระของตนให้สำเร็จลุล่วงไป ไม่ว่าจะต้องทนลำบากแม้ใหญ่หลวงเพียงไรrungrojsintuhttp://www.blogger.com/profile/13522395879599006745noreply@blogger.com