วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

ธรรมจักรกัปวัตนสูตร

บทขัดธรรมจักรแปล อนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิตวา ตะถาคะโตพระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้ซึ่งพระอนุตตระ สัมมาสัมโพธิญาณแล้วปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรังสัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยังเหมือนจะทรงประกาศธรรมที่ใครๆยังมิได้ให้เป็นไปในโลก ให้เป็นไปโดยชอบแล้ว ได้ทรงแสดงซึ่งพระอนุตตะระธรรมจักรในกรยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฎิปัตติ จะ มัชฌิมาจะตูสวาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนังคือวัตรพระองค์ตรัสรู้ ซึ่งพิสูจน์ 2 ประการ ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง แลปัญญาอันรู้เห็นในอริยสัจทั้ง4ของพระองค์หมดจดแล้วในธรรมจักรใด เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนังนาเมนะ วิสสุตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนังเวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เสฯ เราทั้งหลาย จงสวดธรรมจักรนั้น ที่พระองค์ชื่อธรรมราชาได้ทรงแสดงแล้ว ปรากฏในชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นสูตรประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันพระทั้งอสีติได้ร้อยกรองไว้โดยบาลีไวยากรณ์เทอญ
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเอวัมฺเม สุตังอันข้าพเจ้า(คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้เอกัง สมยัง ภควาสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพาราณะสิยัง วิหะระติ อิสิปะตะเน มิคะทาเย เสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีตัตฺระ โข ภะคะวา ปัญฺจะวัคฺคิเย ภิกฺขู อามันฺเตสิในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือน พระภิกษุปัญจวัคคียว่าเทฺวเม ภิกฺขะเว อันฺตาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (การกระทำ)ที่สุดสองอย่างนี้ปัพฺพะชิเต นะ นะ เสวิตัพฺพาอันบรรพชิตไม่ควรเสพ (ไม่ควรข้องแวะเลย)โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลฺลิกานุโยโคคือการประกอบตนให้พัวพันด้วย (ความใคร่ใน)กาม ในกาม(สุข) ทั้งหลายนี้ใดหิโน (HEE โน) พิมพ์ไม่ได้เครื่องแจ้งไม่สุภาพ เป็นธรรมอันเลว เป็นของต่ำทราม คัมฺโมเป็นของชาวบ้าน เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือนโปถุชฺชะนิโกเป็นของชั้นปุถุชน เป็นของคนมีกิเลสหนาอะนะริโยไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลสอะนัตฺถะสัญฺหิโตไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่งโย จายัง อัตฺตะกิละมะถานุโยโคคือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยด้วยตน การทรมานตนให้ลำบาก เหล่านี้ใดทุกฺโขเป็นสิ่งนำมาซึ่งทุกข์ ให้เกิดทุกข์แก่ผู้ประกอบอะนะริโยไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลสอะนัตฺถะสัญฺหิโตไม่ประกอบด้วยประโยชน์ อย่างหนึ่งเอเต เต ภิกฺขะเว อุโภ อันฺเต อะนุปะคัมฺมะ มัชฺฌิมา ปะฏิปะทาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติอันเป็นทางสายกลางไม่เข้าไปใกล้(การกระทำ)ที่สุด สองอย่างนั่นนั้นตะถาคะเตนะ อภิสัมฺพุทฺธาที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งจักฺขุกะระณีทำดวงตาให้เกิดญาณะกะระณีทำญาณเครื่องรู้อุปะสะมายะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับอะภิญฺญายะเพื่อความรู้ยิ่งสัมโพธายะเพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ดีนิพฺพานายะ สังวัตตะติเพื่อความดับ เพื่อนิพพานกะตะมา จะ สา ภิกฺขะเว มัชฺฌิมา ปะฏิปะทาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นทางสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้(การกระทำ)ที่สุด สองอย่างนั่น นั้นเป็นไฉนตะถาคะเตนะ อะภิสัมฺพุทฺธาที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งจักฺขุกะระณีทำดวงตาให้เกิดญาณะกะระณีทำญาณเครื่องรู้อุปะสะมายะย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับอะภิญญายะเพื่อความรู้ยิ่งสัมฺโพธายะ เพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ดี นิพฺพานายะ สังวัตฺตะติเพื่อความดับ เพื่อนิพพานอะยะเมวะ อะริโย อัฏฺฐังคิโก มัคฺโคทางมีองค์แปด เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลสนี้เองเสยฺยะถีทังกล่าวคือ(๑) สัมฺมาทิฏฺ ฐิปัญญาอันเห็นชอบ(๒) สัมฺมาสังฺกัปฺโปความดำริชอบ(๓) สัมฺมาวาจาการพูดจาชอบ(๔) สัมฺมากัมฺมันฺโตการทำการงานชอบ(๕) สัมฺมาอาชีโวความเลี้ยงชีวิตชอบ(๖) สัมมาวายาโมความพากเพียรชอบ(๗) สัมฺมาสะติความระลึกชอบ(๘) สัมฺมาสะมาธิความตั้งจิตมั่นชอบอะยัง โข สา ภิกฺขะเว มัชฺฌิมา ปะฏิปะทาดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันนี้แล ข้อปฏิบัติชึ่งเป็นกลางนั้นตะถาคะเตนะ อะภิสัมฺพุทฺธาที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่งจักฺขุกะระณี ทำดวงตาให้เกิด ญาณะกะระณีทำญาณเครื่องรู้อุปะสะมายะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับ อะภิญฺ ญายะเพื่อความรู้ยิ่ง สัมฺโพธายะ เพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้ดี นิพฺพานายะ สังวัตฺตติเพื่อความดับ เพื่อนิพพานอิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขัง อริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นทุกข์อย่างแท้จริง คือชาติปิ ทุกฺขาความเกิดก็เป็นทุกข์ชะราปิ ทุกฺขาความแก่ก็เป็นทุกข์มะระณัมฺปิ ทุกฺขังความตายก็เป็นทุกข์โสกะ ปะริเทวะ ทุกฺขะ โทมะนัสฺ สุปายาสาปิ ทุกฺขาความโศก ความรำไรรำพัน ความทุกข์(ความไม่สบายกาย) โทมนัส(ความไม่สบายใจ) และความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์อัปฺปิเยหิ สัมฺปะโยโค ทุกฺโขความประสบด้วยสิ่งที่ ไม่เป็นที่รักที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์ปิเยหิ วิปฺปะโยโค ทุกฺโขความพลัดพราก จากสิ่งที่รัก ที่พอใจทั้งหลาย ก็เป็นทุกข์ยัมฺปิจฺฉัง นะ ละภะติ ตัมฺปิ ทุกฺขังปรารถนาอยู่ย่อมไม่ได้ แม้อันใด แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์สังฺขิตฺเตนะ ปัญฺจุปาทานักฺขันฺธา ทุกฺขาโดยย่อแล้ว อุปาทานขันข์ทั้งห้า เป็นตัวทุกข์
อิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขะสะมุทะโย อะริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นเหตุให้ทุกข์ เกิดขึ้นอย่างแท้จริง คือยายัง ตัณหาความทะยานอยาก(ของจิต)นี้อันใดโปโนพฺภะวิกาทำให้มีภพอีก อันเป็นเครื่องทำให้มีการเกิดอีกนันฺทิราคะ สะหะคะตาเป็นไปกับด้วย(อันประกอบอยู่ด้วย)ความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลินตัตฺระ ตัตฺราภินันฺทินีมีปกติเพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ (ตัณหามักเพลิดเพลินในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ชื่อว่าในที่นั้นๆ)เสยฺยะถีทังฯได้แก่สิ่งเหล่านี้คือกามะตัณฺหาคือ ความทยานอยากในกาม ความทะยานอยากในอารมณ์ที่รัก ใคร่ภะวะตัณฺหาคือ ความทะยานอยากในความมี ความเป็นวิภะวะตัณฺหาฯคือ ความทะยานอยากในความไม่มี ไม่เป็นอิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือโย ตัสฺสาเยวะ ตัณฺหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธความดับสนิทเพราะจางไป โดยสิ้นความกำหนัด โดยไม่เหลือ แห่งตัณหานั้นนั่นเทียวอันใดจาโคความสละเสียตัณหานั้นปะฏินิสฺสัคฺโคความวาง ความสละคืน ความสละได้ขาด ตัณหานั้นมุตฺติความปล่อย ความพ้น ความหลุดพ้น ตัณหานั้น อะนาละโยความไม่พัวพัน ไม่กังวล ไม่อาลัยในตัณหานั้น(เป็นความทำไม่ให้มีที่อาศัยซึ่งตัณหานั้น)อิทัง โข ปะนะ ภิกฺขะเว ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อริยะสัจฺจังดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คืออะยะเมวะ อะริโย อัฏฺฐังฺคิโก มัคฺโคทางมีองค์แปด เครื่องไปจากข้าศึก คือกิเลส นี้เองเสยฺยะถีทังได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ(๑) สัมฺมาทิฏฺ ฐิปัญญาอันเห็นชอบ(๒) สัมฺมาสังฺกัปฺโปความดำริชอบ(๓) สัมฺมาวาจาการพูดจาชอบ(๔) สัมฺมากัมฺมันฺโตการทำการงานชอบ(๕) สัมฺมาอาชีโวความเลี้ยงชีวิตชอบ(๖) สัมฺมาวายาโมความพากเพียรชอบ(๗) สัมฺมาสะติความระลึกชอบ(๘) สัมฺมาสะมาธิฯความตั้งจิตมั่นชอบอิทัง ทุกฺขัง อะริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่านี้เป็น ทุกข์อริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขัง อะริยะสัจฺจัง ปะริญฺ เญยฺยันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกข์อริยสัจนี้นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขัง อะริยะสัจฺจัง ปะริญฺญาตันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล อันเราได้กำหนดรู้แล้วอิทัง ทุกฺขะสะมุทะโย อะริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญฺญา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้ว ในกาลก่อนว่านี้ ทุกขสมุทัยอริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะสะมุทะโย อะริยะสัจฺจัง ปะหาตัพฺพันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล ควรละเสียตังโข ปะนิทัง ทุกฺขะสะมุทะโย อริยะสัจฺจัง ปะหิ(hee)นันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้ นั้นแล อันเราได้ละแล้วอิทัง ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺ า อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้ว ในกาลก่อนว่านี้เป็น ทุกขนิโรธ อริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจัง สัจฺฉิกาตัพฺพันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ นั้นแล ควรทำใหัแจ้งตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรโธ อะริยะสัจฺจัง สัจฺฉิกะตันติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญฺญา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้ นั้นแล อันเราได้ทำใหัแจ้งแล้วอิทัง ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อริยะสัจฺจันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้ว ในกาลก่อนว่านี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจฺจัง ภาเวตัพฺพันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้ นั้นแล ควรให้เจริญตัง โข ปะนิทัง ทุกฺขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจฺจัง ภาวิตันฺติ เม ภิกฺขะเว ปุพฺเพ อะนะนุสฺสุเตสุ ธัมฺเมสุ จักฺขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญฺา อุทะปาทิ วิชฺชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้เกิดขึ้นแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างได้เกิดขึ้น แล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยใด้ ฟังแล้วในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิ ปทาอริยสัจนี้ นั้นแล อันเราเจริญแล้วยาวะกีวัญฺจะ เม ภิกฺขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจฺเจสุ เอวันฺติปริวัฏฺฏัง ทฺวาทะสาการังยะถาภูตัง ญาณะทัสฺสนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจสี่เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้ ยังไม่หมดจดเพียงใดแล้วเนวะ ตาวาหัง ภิกฺขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสฺสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสฺสายะ อนุตฺตะรัง สัมฺมาสัมฺโพธิง อะภิสัมฺพุทโธ ปัจฺจัญฺ ญาสิงฯดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยเทพดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพดา มนุษย์ ไม่ได้เพียงนั้นยะโต จะ โข เม ภิกฺขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจฺเจสุ เอวันฺติปริวัฏฺฏัง ทฺวาทะสาการัง ยถาภูตัง ญาณะทัสฺสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจสี่ เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบสาม มีอาการสิบสองอย่างนี้ หมดจดดีแล้วอะถาหัง ภิกฺขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพฺรัหฺมะเก สัสฺสะมะณะพฺราหฺมะณิยา ปะชายะ สเทวมนุสฺสาย อนุตฺตะรัง สัมฺมาสมฺโพธิง อะภิสัมฺพุทฺโธ ปัจฺจัญฺญาสิงฯเมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วย เทพดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ เทพดา มนุษย์ .
ญาณัญฺจะ ปะนะ เม ทัสฺสะนัง อุทะปาทิก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราอะกุปฺปา เม วิมุตติ อะยะมันฺติมา ชาติ นัตฺถิทานิ ปุนัพฺภะโวติว่าความพ้นพิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีภพอีกอิทะมะโวจะ ภะคะวาพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้วอัตฺตะมะนา ปัญฺจะวัคฺคิยา ภิกฺขูภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีใจยินดีภะคะวะโค ภาสิตัง อภินันฺทุงเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าอิมัสฺมิญฺจะ ปะนะ เวยฺยากะระณัสฺมิง ภัญฺญะ มาเนก็แลเมื่อเวยยากรณ์นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอยู่อายัสฺมะโต โกณฺฑัญฺญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมฺมะจักฺขุง อุทะปาทิจักษุในธรรม อันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะยังฺกิญฺจิ สะมุทะยะธัมฺมัง สัพฺพันฺตัง นิโรธะธัมฺมันฺติว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้น มีอันดับไปเป็นธรรมดาปะวัตฺติเต จะ ภะคะวะตา ธัมฺมะจักเกก็ครั้นเมื่อธรรมจักร อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้วภุมฺมา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเหล่าภุมมเทพดา ก็ยังเสียงให้บันลือลั่นเอตัมฺภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมฺมะจักฺกัง ปะวัตฺติตัง อัปฺปะฏิวัตฺติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรัหฺมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสมินฺติว่านั้นจักร คือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้ภุมฺมานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา จาตุมฺมะหาราชิกา เทวา สัทฺทะมะนุสสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราช ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าภุมมเทพดาแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น จาตุมฺมะหาราชิกานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ตาวะติงสา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้า เหล่าชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น ตาวะติงสานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ยามา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นยามะ ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น ยามานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ตุสิตา เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิต ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นยามะแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่นตุสิตานัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา นิมฺมานะระตี เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น นิมฺมานะระตีนัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา ปะระนิมฺมิตะวะสะวัตตี เทวา สัทฺทะมะนุสฺสาเวสุงเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัดดี ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น ปะระนิมฺมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัทฺทัง สุตฺวา เทพเจ้าเหล่าที่เกิดในหมู่พรหม ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิมมิตวสวัดดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น พรัหมะปาริสัชชา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ พรัหมะปะริสัชชานัง เทวานัง สัททัง สุตวาพระพรหมเหล่าชั้นพรหมปาริสัชชาได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นพรัหมะปะโรหิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ พรัหมะปะโรหิตานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมปโรหิตาได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นมะหาพรัหมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ มะหาพรัหมานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นมหาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นปะริตตาภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ปะริตตาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมปริตตาภา ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอัปปะมาณาภา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุงฯ อัปปะมาณาภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอัปมาณาภาได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอาภัสสะรา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ อาภัสสะรานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอาภัสสราพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นปะริตตะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ ปะริตตะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมปริตตสุภาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอัปปะมาณะสุภา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ อัปปะมาณะสุภานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอัปปมาณสุภาพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นสุภะกิณหะกา เทวา สัททะ มะนุสสาเวสุงฯ สุภะกิณหะกานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหม สุภกิณหกาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นเวหัปผะลา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ เวหัปผะลานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมเวหัปผลาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอะวิหา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ อะวิหานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอวิหาพรหม ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอะตัปปา เทวา สัททะมะนุสสา เวสุงฯ อะตัปปานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมอตัปปาพรหมได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นสุทัสสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ สุทัสสานัง เทวานัง สัททัง สุตวา พระพรหมเหล่าชั้นพรหมสุทัสสาพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นสุทัสสี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ สุทัสสีนัง เทวานัง สัททัง สุตวาพระพรหมเหล่าชั้นพรหมสุทัสสีพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่นอะกะนิฏฐะกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุงฯ พระพรหมเหล่าชั้นพรหม อกนิฎฐกาพรหม ได้ฟังเสียง ก็หยั่งเสียงให้บันลือลั่น เอตัมฺภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมฺมะจักฺกัง ปะวัตฺติตัง อัปฺปะฏิวัตฺติยัง สะมะเณนะ วา พฺราหฺมะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พฺรัหฺมุนา วา เกนะจิ วา โลกัสฺมินฺติว่านั้นจักร คือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อันสมณพราหมณ์ เทพดา มาร พรหม และใครๆ ในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ ดังนี้ อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตฺเตนะ ยาวะ พฺรัหฺมะโลกา สัทฺโท อัพฺภุคฺคัจฺฉิฯโดยขณะครู่เดียวนั้น เสียงขึ้นไปถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้อะยัญฺจะ ทะสะสะหัสฺสี โลกะธาตุทั้งหมื่นโลกธาตุสังฺกัมฺปิ สัมฺปะกัมฺปิ สัมฺปะเวธิฯได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้านลั่นไปอัปฺปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ได้ปรากฏ แล้วในโลกอะติกฺกัมฺเมวะ เทวานัง เทวานุภาวังล่วงเทวานุภาพของเทพดาทั้งหลายเสียหมดอะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงเปล่งอุทานว่าอัญญฺาสิ วะตะ โภ โกณฺฑัญฺโญ อัญญฺาสิ วะตะ โภ โกณฺฑัญฺโญ ติฯว่าโกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญอิติหิทัง อายัสฺมะโต โกณฺฑัญฺญัสสะ อัญญฺาโกณฺฑัญฺโญ เตฺววะ นามัง อะโหสีติ.เพระเหตุนั้น นามว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้นั่นเทียว ได้มีแล้วแก่พระผู้มีอายุโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้แล